หลิงเสียนเรียกชื่อเป่ยฟางหรงคำหนึ่ง ดึงเชือกรัดปีศาจออกมาร่ายอาคมมัดร่างของเป่ยฟางหรงแน่น แล้วลากออกมาที่ลานหน้าเรือนท่ามกลางความตื่นตระหนกของศิษย์ผู้เฝ้าเรือนทั้งสอง
“อาจารย์อาเหตุใดทำเช่นนี้เจ้าคะ แล้วใบหน้าของท่าน”
เป่ยฟางหรงที่ถูกมัดแน่นหนา นั่งอยู่บนลานหิมะเยือกเย็นกลับไม่มีอาการสะทกสะท้าน นางจ้องหน้าของหลิงเสียน ใบหน้างามของเป่ยฟางหรงไม่ได้มีความเคียดแค้นแม้แต่น้อย ศิษย์ทั้งสองคนต่างมองเป่ยฟางหรงด้วยสายตานับถือ
หรือว่าเป่ยฟางหรงจะฝึกจิตจนถึงขั้นสูง ละ โลภ โกรธ หลง ได้แล้ว
หลิงเสียนหัวเราะคล้ายนางมารผู้หนึ่ง ซึ่งไม่เข้ากับใบหน้าอ่อนหวานของนางแม้แต่น้อย
“นังปีศาจ เจ้ายังไม่รู้ตัวอีก”
เป่ยฟางหรงมองดวงตาเขียวคล้ำของหลิงเสียนก็รู้สึกกังวลใจแล้วเอ่ยว่า
“อาจารย์อาท่านก็ยังไม่รู้ตัวเช่นกันเจ้าค่ะ”
หลิงเสียนชี้นิ้วเข้าที่อกของตนเองแล้วเอ่ยว่า
“ข้าหรือ ข้าไม่รู้ตัวอย่างไร เจ้าพูด”
ดวงตาใสกระจ่างของเป่ยฟางหรงยิ่งทำให้ศิษย์รับใช้สองคนรู้สึกสงสารยิ่ง ถึงจะถูกกระทำเช่นนั้นเป่ยฟางหรงกลับไม่มีทีท่าว่าจะโกรธเลยสักนิด
ไม่แน่ว่าสิ่งที่พวกเขาคาดคิดจะเป็นจริงแล้วนางบรรลุตบะขั้นสูงได้จริง ๆ แต่หากไม่ใช่ปีศาจเหตุใดนางจึงไม่อาจหลบหนีจากเชือกมัดปีศาจได้เล่า
พวกเขาต่างตั้งใจฟังที่เป่ยฟางหรงจะแก้ต่าง
“อาจารย์อา ท่านคงเร่งรุดกลับสำนักจนไม่ได้พักกระมัง ลมเย็นคงต้องใบหน้าจนทำให้บริเวณนี้เหี่ยวย่นและหมองคล้ำยิ่งท่านอายุก็นับว่าเป็นท่านยายแล้ว ไม่อาจทะนงตนถึงความงามวัยเยาว์ได้ ต้องระวังนะเจ้าคะ ศิษย์เห็นใบหน้าเหี่ยวย่นนี้แล้วปวดใจแทนนัก”
นางยังทำท่าวาดมือใต้ดวงตาของตนเอง เป็นการบอกตำแหน่งความเหี่ยวย่นให้หลิงเสียนรู้
หากไม่มีบุคคลที่สามหลิงเสียนคงได้กระทืบเท้าด้วยโทสะไปแล้ว นังปีศาจตนนี้กล้าที่จะเอ่ยล้อเลียนความงามของนางได้อย่างไร ครานี้หลิงเสียนแทบจะร่างระเบิดด้วยโทสะจริง ๆ
“นี่เจ้าล้อเลียนข้าหรือ”
เป่ยฟางหรงถอนหายใจ นางบอกเพราะหวังดีด้วยใจจริง อย่างไรเสียอาจารย์อาเมื่อมาถึงสำนักก็มาเยี่ยมนางเลย กระทั่งคำสั่งของอาจารย์ยังกล้าฝ่าฝืน
เช่นนี้ก็แปลว่าห่วงใยนางยิ่ง ถึงอาจารย์อาจะมัดนางไว้ก็ตามเถิด
“ปีศาจร้ายเช่นเจ้า อย่าคิดว่าผู้อื่นจะดูไม่รู้ วันนี้ข้ามาเพื่อสั่งสอนเจ้าให้สำนึก จงเผยตัวตนของเจ้ามา”
นางจับกำกระบี่ตนเองแน่น ชี้มาที่ร่างของเป่ยฟางหรง ปากร่ายอาคมสยบมารแล้วพุ่งยันต์มาที่ร่างของเป่ยฟางหรงทันใด
“อาจารย์อาท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าหาใช่ปีศาจจริง ๆ นะเจ้าคะ อาจารย์อาได้โปรดฟังข้าก่อน”
ท่าทางของเป่ยฟางหรงในยามนี้หลิงเสียนรู้สึกว่าช่างดูแตกต่าง โดยปกติแล้วเป่ยฟางหรงมักดื้อรั้นและอาคมของนางยังแข็งแกร่งยิ่ง ครานี้นอกจากเป่ยฟางหรงไม่โต้ตอบยังยอมให้หลิงเสียนจับมัดแต่โดยดี
หลิงเสียนเพียงแต่คิดว่าเป็นเพราะของวิเศษที่นางกับสี่สำนักเซียนใหญ่ร่วมแรงร่วมใจสร้างขึ้นมาอย่างเร่งด่วนมีพลังอำนาจค่อนข้างมากจึงทำให้เป่ยฟางหรงไม่อาจต้านทานความร้ายกาจได้
หลิงเสียงยกมุมปากเอ่ยราบเรียบ
“เจ้าคิดว่ายังจะสามารถแก้ต่างได้อีกหรือ”
“อาจารย์อาท่านเข้าใจผิดจริง ๆ เจ้าค่ะ”
ไร้ท่าทางยโส มีเพียงแต่ดวงตาที่อ้อนวอนขอความเห็นใจคู่นั้น แต่คนเช่นหลิงเสียนย่อมไม่ใจอ่อนเหมือนศิษย์พี่เป็นอันขาด
ยันต์สีเหลืองในมือของหลิงเสียนจึงพุ่งตรงเข้ามาแปะที่ร่างของเป่ยฟางหรงโดยทันที
“ใช่หรือไม่ข้าตัดสินเอง”
“อาจารย์อา ข้าเจ็บปวดยิ่งขอร้องท่านปล่อยข้าไปเถิดเจ้าค่ะ”
เป่ยฟางหรงดิ้นรนหลีกหนีแต่นางไม่สามารถทำได้
“มารชั่วร้ายต้องกำจัด ไม่มีละเว้น”
ว่าแล้วยันต์ปราบมารอีกสายพลันพุ่งซัดเข้าสู่ร่างของเป่ยฟางหรง ห่อหุ้มร่างนั้นจนเห็นเหลือเพียงดวงตาที่โผล่ออกมา
“อาจารย์อา กรี๊ดดดด”
เป่ยฟางหรงกรีดร้อง ร่างของนางค่อยๆ ถูกไฟอาคมเผาไหม้ นางดิ้นทุรนทุรายดูเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง
หลิงเสียนได้ใจ กล่าวอย่างกระหยิ่ม เห็นเป่ยฟางหรงเจ็บปวดเช่นนั้นก็มั่นอกมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่านางต้องเป็นปีศาจแน่นอน
“ยันต์นี่ล้วนลงอาคมของห้าสำนักเซียนเอาไว้ ต่อให้เจ้าเป็นดาวมารก็ไม่อาจหลุดพ้นได้”
เป่ยฟางหรงร่ำไห้ คุกเข่าขอร้องอย่างทุลักทุเล
“อาจารย์อา ปล่อยข้าเถิด ข้าหาใช่ปีศาจเจ้าค่ะ”