หลิงเสียนถึงกับใบหน้าถอดสี แต่นางยังดื้อรั้นเป็นอย่างยิ่ง
“ศิษย์พี่อย่างไรข้าก็ไม่เชื่อ นางต้องได้รับการพิสูจน์”
หลี่จิ้งถอนหายใจเอ่ยเสียงต่ำ
“เท่านี้ยังขายหน้าไม่พออีกหรือ เจ้าเป็นถึงศิษย์น้องของข้า เป็นอาจารย์อาของศิษย์ทุกคนไม่คิดว่าทำเช่นนี้จะรังแกหรงหรงไปหน่อยหรือ”
หลิงเสียนกลั้นเสียงสะอื้น น้ำตาคลอหน่วย นางในตอนนี้ทั้งรู้สึกขายหน้าทั้งเจ็บใจที่ศิษย์พี่เอาแต่ปกป้องเป่ยฟางหรง หลิงเสียนเชื่ออย่างเต็มที่ว่าสตรีผู้นี้ย่อมเป็นปีศาจเป็นแน่
เหตุใดศิษย์พี่ถึงไม่ฟังนางบ้างกระทั่งเจ้าสำนักเซียนทั้งสี่ต่างก็สงสัย นอกจากศิษย์พี่จะไม่พิสูจน์แล้วยังพาเป่ยฟางหรงหนีมาซ่อนตัวในสำนักอีก
“ศิษย์พี่ ท่านไม่รู้หรือว่าตอนนี้ชื่อเสียงของท่านมัวหมองเพราะนางแล้ว ผู้คนต่างร่ำลือว่าท่านหลงใหลนางปีศาจจนดวงตามืดบอด”
“ดวงตาของข้าจะมืดบอดหรือไม่ คงไม่รบกวนให้ผู้ใดยื่นมือเข้ามาสอดรวมทั้งเจ้าด้วยเช่นกัน”
หลี่จิ้งขีดเส้นกั้นระหว่างเขาและนางอย่างเต็มที่ หลิงเสียนได้แต่ข่มความเจ็บปวดเอาไว้ภายในใจ
“ได้เช่นนั้นท่านจงดูเอาเถิด หากท่านมั่นใจในตัวนางก็ปล่อยนางออกมาให้ข้าได้พิสูจน์หาไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่อาจรามือได้”
เป่ยฟางหรงยังคงไม่กระจ่างในเรื่องราวทั้งหมด บัดนี้นางแอบอยู่ด้านหลังหลี่จิ้งหันไปถามศิษย์รับใช้ทั้งสองโดยที่ปากขยับแต่ไร้ซึ่งสุ้มเสียง
“เกิดอะไรขึ้น”
ศิษย์ทั้งสองที่เพิ่งถูกหลิงเสียนทำร้ายยังเจ็บตัวอยู่มาก ทำท่าทางพิลึกพิลั่นที่เป่ยฟางหรงไม่เข้าใจ กระนั้นก็ยังทำท่าทางคล้ายเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว
เป่ยฟางหรงชี้มือเข้าที่ตนเองแล้วเอ่ยว่า
“เกี่ยวกับข้าหรือ”
สองคนนั้นเริ่มเข้าใจในคำพูดของนางแล้วจึงพยักหน้า เป่ยฟางหรงยังมีความผิดติดตัวฐานขัดคำสั่งอาจารย์ แม้ว่าเมื่อคืนรวมถึงช่วงเช้าเขาจะอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่งอีกทั้งในตอนนี้ยังปกป้องนางอย่างเต็มที่ แต่อาจารย์ของนางไม่เคยละเว้นผู้ขัดขืนคำสั่ง
เพราะเป็นเช่นนี้นางจึงไม่กล้าโต้แย้งผู้ใดได้แต่ก้มหน้าหลบอยู่ด้านหลังอาจารย์ต่อไป กระทั่งน้ำเสียงดุดันของหลี่จิ้งเอ่ยขึ้น
“หรงหรงเจ้ามานี่”
“เจ้าค่ะ”
นางถูกหลี่จิ้งจูงมือเดินออกมาแล้วหยุดอยู่ตรงลานกลางบ้าน หลี่จิ้งขมวดคิ้วเห็นว่านางไม่ใส่เสื้อคลุมออกมาปากเอ่ยตำหนิเบา ๆ ไม่ให้คนอื่นได้ยิน
“เหตุใดใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นเช่นนี้”
หลี่จิ้งปลดเสื้อคลุมสีแดงสดของเขาแล้วคลุมให้นางทั้งสองคนสบสายตากันชั่วครู่ หลี่จิ้งกำลังบอกนางว่าไม่เป็นไร ปล่อยให้อาจารย์อาทำสิ่งที่นางต้องการ
เป่ยฟางหรงจึงพยักหน้า เมื่อมีอาจารย์หนุนหลังนางจึงไม่กลัวแล้ว
“เอาล่ะศิษย์น้องเจ้าข้องใจสิ่งใดก็ว่ามา”
เขาขยับห่างจากเป่ยฟางหรงเล็กน้อย
“ข้าต้องการพิสูจน์ว่านางไม่ใช่ปีศาจเจ้าค่ะ”
“ได้”
หลี่จิ้งรับคำ เป่ยฟางหรงมองหน้าหลิงเสียนแล้วเอ่ยถาม
“เหตุใดอาจารย์อามองว่าข้าเป็นปีศาจเล่าเจ้าคะ”
“เจ้ากลัวหรือ” น้ำเสียงของหลิงเสียนเต็มไปด้วยรอยเยาะหยัน
“ไม่กลัวเพียงแต่สงสัย”
หลิงเสียนร้อง หึ ออกมาคำหนึ่ง ภาพที่หลี่จิ้งเอาใจใส่เป่ยฟางหรงกระทั่งถอดเสื้อคลุมให้นางสวมใส่นั้นช่างบาดตาบาดใจยิ่งนัก
“รู้อยู่แก่ใจว่าตนเองเป็นมาร ไม่ต้องถามมาก ศิษย์พี่ได้โปรดถอยออกมาเถิดให้ข้าได้พิสูจน์”
หลี่จิ้งมองเป่ยฟางหรงคล้ายจะยิ้มให้นางเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นทอประกายอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง เขาขยับออกห่างนางจนพ้นรัศมีอาคมของหลิงเสียน
เป่ยฟางหรงปัดมือของตนเองที่มีเศษอาหารติดอยู่ นางเชิดหน้าขึ้นแล้วเอ่ยว่า
“เอาเถิดจะทำสิ่งใดก็รีบทำ ข้าพร้อมแล้ว”
คล้ายมีรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าหลี่จิ้ง เมื่อเห็นท่าทางราวเด็กน้อยที่อาจหาญเป็นผู้ใหญ่ของเป่ยฟางหรง เขาเอ่ยเสียงเรียบกับหลิงเสียน
“ศิษย์น้องเชิญ”
หลิงเสียนร่ายอาคมใช้เชือกมัดปีศาจมัดร่างของเป่ยฟางหรงแน่นหนา เป่ยฟางหรงขยับอย่างอึดอัดหิมะที่ยืนอยู่นั้นค่อนข้างลื่นจึงทำให้เป่ยฟางหรงเสียหลักคุกเข่าลงบนพื้น
หลี่จิ้งแทบจะถลาไปประคองร่างของนาง ครั้นเห็นสายตาของศิษย์ในสำนักที่จ้องมองตนเองและเป่ยฟางหรงอยู่จึงได้แต่กำหมัดแน่นปล่อยนางไว้เพียงลำพัง
เป่ยฟางหรงร้องออกมาคำหนึ่ง แล้วเชิดหน้าขึ้นดังเดิม
“หรงหรงบาดเจ็บหรือไม่”
เสียงอบอุ่นอ่อนโยนดังขึ้น เป่ยฟางหรงจึงส่ายหน้ายิ้มร่าเริงให้เขา