นางหมายถึงกระบี่คู่กายของเขาจริง ๆ เหตุใดคนพวกนี้ฟังแล้วบางคนถึงกับมุดหน้าลงไปบนฝ่ามือเล่า
“อ้อข้ายังเคยสั่งเขาถอดอาภรณ์ต่อหน้าท่านพ่อท่านแม่ด้วย พวกเจ้าเชื่อหรือไม่ว่าเขาถอดออกจริง ๆ บางคราเขาก็เชื่อฟังอย่างไม่น่าเชื่อ”
เสียงกรี๊ดของทวยเทพพวกนั้นต่างดังออกมาหลายคนแทบจะม้วนลงไปบนพื้น กระทั่งเป่ยฟางหรงหันไปกระซิบกับหยีจวน
“เจ้าว่าพวกนางยังสติเต็มกันอยู่หรือไม่ เรื่องการต่อสู้เล็กน้อยของข้ามีเรื่องอันใดน่าสนใจกัน”
“ข้าก็ไม่ทราบหรือว่าคนเผ่าสวรรค์ชอบฟังเรื่องการต่อสู้เช่นนี้” หยีจวนกระซิบตอบ เห็นพวกนางฟังไปบิดมือไปอีกทั้งยังหน้าแดงยิ่งกว่าถูกสีย้อมยิ่งไม่เข้าใจ คนของแดนสวรรค์ต่างพิลึกเช่นนี้หรือ
เป่ยฟางหรงเล่าเรื่องของเทพอัคคีไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเกี้ยวสวรรค์พานางเหาะมาถึงด้านหน้าประตูตำหนักของเง็กเซียน
“หากท่านคิดจะทวงความเป็นธรรมก็ต้องร้องขอต่อองค์เง็กเซียนให้ช่วยจัดการแล้ว เทพอัคคีนับเป็นเทพชั้นสูงมีเพียงองค์เง็กเซียนที่ฐานะเหนือกว่าเขา”
“ข้าเข้าใจแล้วขอบคุณพวกเจ้ามาก”
“น้อมส่งฝ่าบาทน้อยเพคะ”
หลังจากนั้นเหล่าเทพทั้งหลายก็สลายตัวพร้อมใบหน้าและความคิดที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เทพอัคคีแท้จริงแล้วช่างเป็นบุรุษในฝัน ทั้งยิ่งใหญ่และร้อนแรงยิ่งหาได้เย็นชาเหมือนใบหน้าที่มักแสดงออกอยู่เสมอ
ถึงจะรู้สึกไม่ดีที่เขาล่วงเกินฝ่าบาทน้อย แต่อย่างน้อยก็เป็นบทพิสูจน์ว่าเทพอัคคีแท้จริงแล้วก็หวั่นไหวกับสตรีที่งดงามไม่ใช่น้อย
พวกนางต่างมีหวังแล้วถึงจะเป็นอนุในตำหนักสุริยันพวกนางก็ยินดี
“นายท่านขอรับแย่แล้วขอรับนายท่านอยู่ที่ใดขอรับ”
ถงถงวิ่งวนรอบตำหนักอยู่หลายรอบท้ายที่สุดแล้วก็พบว่าเทพอัคคีกำลังพักผ่อนอยู่ในสระน้ำอำมฤทธิ์อันชุ่มฉ่ำ
“นายท่านไม่มีเวลาแล้วขอรับ”
“ถงถงเจ้ามีเรื่องอันใดกันวิ่งวุ่นไปทั่ว”
“นายท่านฝ่าบาทน้อยมาถึงนี่แล้วขอรับกำลังร้องขอความเป็นธรรมต่อหน้าองค์เง็กเซียน”