“เช่นนั้นข้าจะทำกุศลบอกฝ่าบาทน้อยเอาบุญ เห็นว่าองค์ยูไลมอบบางสิ่งให้นายท่านเพื่อปิดผนึกพลังของฝ่าบาทเอาไว้บางส่วน ท่านไม่ต้องห่วงแม้ตอนนี้พลังของท่านในฐานะเทพผู้สูงส่งจะน้อยนิดแต่หากท่านลงไปแดนมนุษย์เมื่อใดก็นับว่าอยู่ในขั้นสูงสุดของผู้บำเพ็ญเซียนแล้ว”
“องค์ยูไลหรือ มาเกี่ยวอันใดกับข้าอีกเหตุใดทุกคนจึงได้วุ่นวายกับข้านัก”
เป่ยฟางหรงจริง ๆ แล้วนางไม่เข้าใจในโชคชะตาของตัวเองสักเท่าใด นางเป็นองค์หญิงแห่งแดนเหมันต์ พลังย่อมแข็งแกร่งกว่าเทพทั่วไป ยิ่งนับวันที่นางเติบโตก็ดูเหมือนว่าพลังภายในของนางจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ด้วยพลังอันแข็งแกร่งที่มีในร่าง นางอยู่ในแดนเหมันต์ก็ไร้คู่ต่อสู้ หลายครั้งจึงลักลอบออกมาด้านนอกทดสอบพลังของตนเองกับเผ่าอื่น ๆ อยู่เป็นประจำกระทั่งนางรู้ว่าตัวเองแข็งแกร่งเพียงใด
พลังของนางย่อมหมายถึงของที่เป็นของนางหาได้แย่งชิงผู้ใดมาเหตุใดจึงดึงดูดผู้คนให้มาวุ่นวาย อีกทั้งยังอยากให้นางไปบำเพ็ญเพียรอะไรนั่นอีก
นางเกิดมาเป็นองค์หญิงเป็นเทพโดยกำเนิดไม่ต้องไต่เต้าบำเพ็ญตบะอันใดเพื่อก้าวเข้าสู่ตำแหน่งเทพ นางจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางต้องย้อนกลับไปทำเรื่องพวกนั้นด้วย
และเหตุผลของท่านพ่อที่ให้ไว้ยิ่งทำให้เป่ยฟางหรงไม่เข้าใจ เพราะนางคือผู้ที่จะมาปกครองแดนเหมันต์คนต่อไป เรื่องราวของสรรพสิ่งนางจึงต้องศึกษาอย่างถ่องแท้
ถ่องแท้แล้วอย่างไร เหตุใดต้องศึกษา ผู้ใดทำดีก็ให้รางวัลทำชั่วก็ฆ่าทิ้งเท่านั้นก็ไม่จบหรอกหรือ กระทั่งท่านพ่อยังบังคับนางซึ่งเพิ่งลืมตาดูโลกไม่กี่วันกราบเทพอัคคีเป็นอาจารย์
นางยังเป็นเด็กไม่รู้ความอยู่แท้ๆ ในใจของเป่ยฟางหรงจึงไม่ยอมรับอาจารย์ผู้นี้ นอกจากอาภรณ์ของเขาแล้วมีสิ่งใดดีกันเล่า
เขาไม่คู่ควรเป็นอาจารย์ของนางเลยด้วยซ้ำ มีอาจารย์ที่ไหนบ้างดูแลศิษย์เช่นเขา บุรุษผู้เฉยชาไร้เมตตาผู้นั้น กระทั่งหน้าตายังไม่ยอมให้พบ เขาดูถูกนางทำราวกับนางเป็นสัตว์ประหลาดน่ารังเกียจ คิดว่านางง้อหรือไร
“ฝ่าบาทน้อยท่านลองสงบใจดูสิ หากใจสงบไม่คิดร้ายเชือกอัคคีก็จะหยุดรัดร่างท่านเอง”
ถงถงเอ่ยขึ้นด้วยเมตตาเมื่อเห็นท่าทางฮึดฮัดของนาง ใช่เพราะเขาคือกิเลนไฟผู้ยิ่งใหญ่ย่อมต้องมีเมตตาต่อสรรพสิ่ง
“ใช่ ๆ ฝ่าบาทน้อยท่านลองทำตามที่ท่านถงถงกล่าวดูก่อนที่บะหมี่เย็นของข้าจะกลายเป็นบะหมีร้อนจนท่านกินไม่ได้ รีบเข้าเถิดฝ่าบาทเดี๋ยวจะเลยมื้อเที่ยงไม่ดีต่อกระเพาะของท่าน”
เป่ยฟางหรงเมื่อหมดหนทาง นางจึงยอมฟังคำของถงถง ไม่นานเชือกอาคมที่รัดร่างก็คลายออก กลายเป็นเชือกสีแดงเส้นเล็กที่รัดข้อมือของนางแทน
“ฝ่าบาทเห็นหรือไม่เชือกหายไปแล้วรีบเสวยเร็ว รีบเสวยบะหมี่ก่อนที่มันจะร้อน”
เป่ยฟางหรงก็หิวจนไส้กิ่วแล้วเช่นกันนางมัวแต่วุ่นวายหาทางแก้มัดให้ตนเองจนเวลาล่วงเลยมานาน นางรับชามบะหมี่มาอย่างรวดเร็ว แต่เพียงสัมผัสชามก็รู้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมานางจึงรีบส่งคืนหยีจวนทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้กินสักคำ
“ฝ่าบาทน้อยเกิดสิ่งใดขึ้นขอรับ ไม่หิวแล้วหรือ”
“เหตุใดร้อนเช่นนี้ ข้าจะกินได้หรือ”
“สงสัยว่าคงรอท่านนานไปหน่อย ข้าจะไปทำให้ท่านใหม่นะขอรับ”
ชามบะหมี่ในมือหยีจวนกลับถูกคนผู้หนึ่งแย่งไปถือเสียเอง แท้จริงแล้วเป็นถงถงที่กลายร่างเป็นคนแล้วแย่งไป
“พวกเจ้าไม่กินเอามาข้ากินเอง หน้าตาพอใช้ได้”
“นะ นี่ เจ้ากลายร่างได้หรือ” เพราะถงถงที่กำลังกลายร่างเป็นคนอย่างสมบูรณ์จึงมีรูปร่างแปลกประหลาด หยีจวนถามด้วยความประหลาดใจ อยู่ตำหนักสุริยันต์มาหลายวันนี่คือครั้งแรกที่เห็นถงถงกลายร่าง
“แน่นอนสิ ข้าคือสัตว์วิเศษของเทพผู้ยิ่งใหญ่เหตุใดเรื่องแค่นี้จะทำไม่ได้เล่า”
ถงถงคุยโม้ ใบหน้าของเขาเกลี้ยงเกลาประดุจเด็กหนุ่มองอาจผู้หนึ่ง เห็นแล้วพาให้เจริญหูเจริญตาอยู่ไม่น้อย เป่ยฟางหรงถึงกับชอบใจเอ่ยขึ้น
“เจ้าตัวประหลาดที่จริงเจ้าหล่อเหลาไม่น้อย ข้าชอบของสวยงามต่อไปเจ้าก็อยู่ในร่างนี้แหละข้ายินยอมเรียกเจ้าว่าถงถง จะไม่เรียกว่าตัวประหลาดอีกต่อไป”
“เชอะร่างกิเลนไฟของข้าก็องอาจไม่ใช่น้อย ผู้ใดเห็นต่างเกรงขามมีฝ่าบาทน้อยคนเดียวที่ตาบอดมองเห็นร่างสง่างามของข้าเป็นสัตว์ประหลาด”
“เกรงขามหรือน่ากลัวเจ้าต้องแยกแยะให้เป็นนะถงถง อยู่กับเจ้านายผู้นั้นของเจ้ามากไปสติถึงได้วิปลาสเช่นนี้อย่างไรเล่า” เป่ยฟางหรงบอก
“ท่านอย่าพูดมาก ตัวท่านกับเจ้าซื่อบื้อนี่ความจริงน่ากลัวกว่าข้าอีก”
กิเลนไฟถงถงผู้มั่นใจในตนเองมีหรือจะเชื่อ คนที่เขาเชื่อในโลกนี้มีเพียงคนเดียวคือเจ้านายของเขา ถงถงจึงไม่สนใจสองนายบ่าวจากแดนน้ำแข็ง ก้มหน้าลงชิมบะหมี่ในมือไปคำใหญ่ เขาทำตาโต และคีบบะหมี่ขึ้นมาอีกกินเข้าไปอีกคำ ครานี้ใหญ่กว่าคำเดิม
เป่ยฟางหรงมองกิเลนไฟถงถงด้วยความประหลาดใจ
“อร่อยหรือ”
“ใช่อร่อยมาก ฝ่าบาทน้อยลองดูหรือไม่”
ท่าทางที่ถงถงกินดูน่าเอร็ดอร่อยมากจนนางอดกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้
“ฝ่าบาทน้อยท่านกินไม่ได้เด็ดขาด มันไม่เย็นแล้วแล้วอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายรอข้าสักประเดี๋ยวข้าจะไปทำของใหม่ให้ท่าน”
และแล้วคำพูดของหยีจวนก็ต้องกลืนหายลงคอ เมื่อบะหมี่คำนั้นถูกถงถงป้อนให้ฝ่าบาทน้อยเรียบร้อยแล้ว ทันใดที่เป่ยฟางหรงกลืนบะหมี่ร้อนลงในลำคอนางก็สัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่ตนเองตั้งแต่เกิดมาไม่เคยพบเจอ
เป่ยฟางหรงหันมามองใบหน้าตื่นตระหนกของหยีจวนด้วยน้ำตาคลอเบ้าและไหลพรากลงมาอาบแก้ม หยีจวนตกใจแทบสิ้นสติด้วยคิดว่าฝ่าบาทน้อยของตนกำลังเจ็บปวดแสนสาหัส
“ฝ่าบาทน้อยทรงเจ็บที่ใด!!!”