เป่ยฟางหรงตำหนิเขาเสียงดัง ก่อนจะมองไปยังถงถงที่เดินตามพวกนางมาอย่างเงียบ ๆ เพื่อคอยนำเรื่องไปรายงานเจ้านายของตน
“ฝ่าบาทน้อยอย่ามองมาที่ข้าเช่นนี้ข้าเป็นสัตว์เวทย์อันดับหนึ่งย่อมไม่เคยทำเรื่องไร้ประโยชน์อย่างเช่นทำอาหารเป็นแน่ หากท่านอยากสั่งเทพอาหารให้ตั้งเตาก็ต้องให้เจ้านายเป็นผู้ออกคำสั่งเท่านั้น”
“เช่นนั้นทำเช่นไรดี ข้าถึงจะได้กินของแปลกใหม่ในเมื่อพ่อครัวของเจ้าหาได้มีใครปรากฏกายเลย กระทั่งเจ้านายของเจ้ายังไม่สนใจข้าแม้แต่น้อย”
ถงถงยักไหล่แล้วกลายร่างเป็นกิเลนไฟเช่นเดิม ถึงแม้ว่าเจ้านายของตนจะสั่งให้คอยจับตามองพวกเขาให้ดีแต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามพวกเขาเรื่องทำอาหาร
ดังนั้นเมื่อไม่อยู่ในคำสั่งถงถงจึงไม่คิดจะวิ่งไปฟ้องเจ้านายนางอยากทำสิ่งใดในโรงครัวก็ต้องปล่อยนางไป
“ฝ่าบาทน้อย เราไม่อาจส่งเสียงได้ขอรับตำหนักเทพถือเรื่องความสงบเป็นที่หนึ่ง หาไม่ไปรบกวนเทพอัคคีเข้าอาจได้รับโทษนะขอรับ” หยีจวนกระซิบ
เป่ยฟางหรงพลันตาโต นางยิ้มที่ดูอย่างไรก็เหมือนคนเลวทรามคนหนึ่งตะโกนบอกหยีจวนเสียงดังทั้ง ๆ ที่เขายืนห่างจากนางนิดเดียว
“หยีจวนเคาะกระทะนั่นจนกว่าจะมีคนโผล่มา หากไม่โผล่มาเจ้าห้ามหยุด”
“ฝะ ฝ่าบาทแต่ที่นี่คือตำหนักสุริยันต์ห้ามส่งเสียงดังเป็นอันขาดนะขอรับ ขืนท่านเทพอัคคีได้ยินคงมีโทสะเป็นแน่”
“ไม่ส่งเสียงแล้วจะได้กินหรือ เจ้าตกลงเป็นบ่าวผู้ใดกันแน่จะให้ข้าลงมือเองหรืออย่างไร”
น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของเป่ยฟางหรงทำให้หยีจวนจนใจ เขาเกิดมาได้เพราะนางไม่ว่านางจะสั่งให้เขาบุกน้ำลุยไฟอย่างไรเขาก็ไม่อาจขัดได้
ยิ่งเห็นใบหน้างอง้ำอย่างเอาแต่ใจของฝ่าบาทน้อยแล้วยิ่งรับไม่ได้หยีจวนจึงลงมือเคาะกระทะนั่นทันใด
“เคาะให้ดังใส่พลังของเจ้าทั้งหมดที่มีลงไป เอาให้ดังจนพวกเขาไม่อาจสงบได้ต้องลุกขึ้นมาทำอาหารให้ข้า”
เป่ยฟางหรงเสกน้ำแข็งเรียวเล็กอุดรูหูของตนเองไว้เพื่อเตรียมหลบหนีเสียงทำลายโสตประสาทจากฝีมือของหยีจวน ริมฝีปากคู่งามกระตุ้นให้บ่าวผู้ซื่อสัตย์เคาะกระทะให้ดังขึ้นอีก
“ดัง ๆ กว่านี้ให้สมกับเป็นบ่าวผู้องอาจของข้า”
หยีจวนทำตามคำสั่งอย่างดีเยี่ยมพลังในกายเขามีไม่น้อยจึงทำให้เสียงเคาะของเขาดังหนวกหูไปทั่วตำหนักสุริยัน ในขณะที่ถงถงรู้สึกปวดหูแต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามด้วยไม่ได้อยู่ในคำสั่งของเจ้านาย
กิเลนไฟยกเท้าทั้งสองข้างปิดหูตนเองแล้วหมอบลงตรงด้านหน้าประตู
นางไม่ได้ทำอันตรายผู้ใดและนางไม่ได้ก่อเรื่อง ผู้ที่ก่อเรื่องคือหยีจวนและถงถงไม่ได้รับคำสั่งให้จับตาดูหยีจวนจึงนับว่าไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องห้ามปราม
“เสียงอันใดดังเช่นนี้ผู้ใดมาทำให้ตำหนักสุริยันต์อันเงียบสงบเกิดเสียงน่ารำคาญเช่นนี้ได้”
เทพหลายองค์ที่มาร่วมประชุมงานที่ตำหนักสุริยันต์ถึงกับยกมืออุดหู หลี่จิ้งบัดนี้ใบหน้าคล้ำจนกลายเป็นทะมึนเขาประสานมือกับทวยเทพแล้วเอ่ยขออภัย หลังจากนั้นจึงส่งกระแสจิตไปตำหนิถงถง
“เหตุใดเจ้าไม่จัดการให้เรียบร้อยปล่อยนางก่อเรื่องได้”
“นายท่านฝ่าบาทน้อยหาได้ทำสิ่งใดผิด ข้าน้อยไม่อาจจัดการได้ขอรับ”
คำว่านางไม่ได้ทำสิ่งใดนั้นทำให้เทพอัคคีถึงกับขมวดคิ้วเป็นปม
“หากไม่ได้ทำเหตุใดจึงเกิดเสียงดังหนวกหูเช่นนั้น เจ้าเฝ้านางดีหรือไม่”
“ดีมากขอรับเกาะติดเลยไม่ห่างกายตามคำสั่ง นางหาได้ทำสิ่งใดจริง ๆ ตอนนี้ฝ่าบาทน้อยเพียงแต่ยืนกอดอกยังหลับตานิ่ง ข้าน้อยไม่ปล่อยให้นางรอดสายตาแน่”
เทพอัคคียิ่งมึนงงในสิ่งที่ถงถงเอ่ย เห็นได้ชัดว่านางกำลังก่อเรื่องเมื่อส่งกระแสจิตไปที่นาง สตรีนางนั้นก็ปฏิเสธ
“ข้าหาได้ทำสิ่งใด ท่านจะลงโทษข้าได้อย่างไร”
ฝ่าบาทน้อยปฏิเสธ ถงถงก็บอกว่านางไม่ได้ทำสิ่งใดตกลงเสียงดังหนวกหูจนเขาเสียการเสียงานนี่เกิดจากสิ่งใด เห็นทีเขาต้องไปดูด้วยตาตนเองเสียแล้ว เทพอัคคีประสานมือเข้าด้วยกันอีกครั้งแล้วแจ้งแก่เหล่าทวยเทพ
“หลี่จิ้งขอไปจัดการสักหน่อย ต้องขออภัยทุกท่านที่ทำให้วุ่นวาย”
หลังจากนั้นพลันย้ายร่างไปยังต้นทางของเสียง เขาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าเป่ยฟางหรง เทพอัคคีผู้ซึ่งเต็มไปด้วยโทสะบัดนี้ดวงตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้าเมื่อเห็นกิเลนไฟของตนหมอบอยู่หน้าโรงครัวพร้อมทั้งยกขาหน้าอุดหูทั้งสองข้าง
ในขณะที่หยีจวนเป็นฝ่ายเคาะกระทะและเป่ยฟางหรงนั่งกอดอกหลับตาพริ้มฟังเสียงโดยไม่อนาทรร้อนใจ
เทพอัคคีมองนางอย่างเอาเรื่องพร้อมที่จะสังหารตัวต้นเหตุที่อยู่ตรงหน้าในทันที ในขณะที่เป่ยฟางหรงลืมตาปากบ่นออกมาทันใด
“อาจารย์ท่านมาเสียทีข้าหิวจะแย่แล้วสั่งคนของท่านให้ทำของให้ข้ากินหน่อย”