เวลาผ่านไปไม่นาน สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุดก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของเป่ยฟางหรง
ปลาผัดเปรี้ยวหวานเติมน้ำตาลพันปีที่นำมาจากรังผึ้งบุปผา สันในหมูผัดพริกสวรรค์ ตุ๋นซี่โครงน้ำทิพย์ ตบท้ายด้วย เต้าฮวยร้อนราดน้ำตาลแดงที่ดูแสนธรรมดาแต่รสชาติเลิศล้ำถูกวางจนเต็มโต๊ะ กลิ่นหอมชวนกินเป็นอย่างยิ่ง เป่ยฟางหรงก้มลงดมกลิ่นหอมหวนพร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอเอื๊อกใหญ่
“กินได้ทุกอย่างใช่หรือไม่”
“ขอรับ”
“ไม่โกหกข้านะ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด”
“ผู้น้อยไม่กล้า ที่นี่คือตำหนักสุริยันต์จะมีผู้ใดกล้าวางยาพิษเล่าขอรับ”
“เจ้าบอกมาสิ่งนี้เรียกว่าอะไร ทำจากสิ่งใดบ้าง”
หลังจากนั้นซ่างเซินก็เริ่มสาธยายเมนูอาหารด้วยความภาคภูมิใจ เป่ยฟางหรงฟังไปคว้าตะเกียบตักชิมไปด้วย จากคำเล็ก ๆ กลายเป็นคำใหญ่ขึ้น ใบหน้างามดูพออกพอใจราวกับว่าได้ค้นพบสิ่งวิเศษที่สุดในชีวิต
เทพผู้น้อยยิ้มหน้าบานตั้งแต่มาอยู่ที่ตำหนักสุริยันต์เขาพยายามทำอาหารหลากหลายชนิดเพื่อขึ้นโต๊ะให้เทพอัคคี แต่เทพผู้นั้นเพียงแต่กินดื่มอย่างสำรวมแทบจะไม่แสดงสีหน้าว่าพึงพอใจอาหารของเขาหรือไม่
แม้ว่าถงถงจะพร่ำบอกเขาว่าอาหารของเขารสชาติล้ำเลิศเพียงใด แต่สิ่งที่เขาต้องการนั้นคือคำชมของเทพอัคคีผู้สูงส่งต่างหาก หลายพันปีที่อยู่ที่นี่แทบจะทำให้เขาท้อถอยกับฝีมือของตนเองเสียแล้ว ไม่รู้ว่าอาหารที่ทำไปนั้นถูกปากผู้เป็นนายหรือไม่
วันนี้เห็นเทพเซียนผู้งามสง่าและดูเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่พิเศษกับเทพอัคคีดื่มกินอาหารของเขาด้วยใบหน้าอิ่มเอิบเช่นนี้ เขาก็น้ำตาแทบจะไหลพรากออกมาด้วยความยินดี
“ไม่ทราบว่าท่านเทพผู้นี้มีนามเรียกขานว่าอย่างไร เสี่ยวเซียนจะได้ไม่เสียมารยาทต่อท่าน”
“เรียกข้าว่าฝ่าบาทน้อยก็พอ ชื่อของข้าคู่ควรให้เซียนก้นครัวอย่างเจ้ารู้หรือ”
ท่าทางของนางคงจะองอาจกว่านี้หากนางไม่ทำตาโต ส่งเสียงงึมงำ พยักหน้าอย่างพออกพอใจ ยกน้ำแกงจากถ้วยซดฮวบ ๆ โดยไม่ใช้กระทั่งช้อน อีกทั้งมือหนึ่งรัวตะเกียบ หยิบปลาเปรี้ยวหวานเข้าปากอย่างมูมมาม
“ว่าแต่ว่าอาหารของแดนสวรรค์รสชาติดีถึงเพียงนี้หรือ ตั้งแต่เกิดมาข้าดื่มกินมามากทุกอย่างล้วนเย็นและจืดชืดจึงคิดว่าไม่ว่าอาหารของที่ใดก็เป็นเช่นนี้ กระทั่งคิดว่าแดนสวรรค์ไม่มีหมูมีเนื้อกินมีเพียงอาหารเจเหมือนแดนเหมันต์ที่ไร้รสชาติ”
น้ำแกงถูกเติมลงเป็นชามที่สอง หมูเปรี้ยวหวานชิ้นโตก็หมดเกลี้ยงนางร้องขอเพิ่มอีกสร้างความตื่นเต้นให้แก่ซ่างเซินเป็นอันมาก
“ไม่ว่าจะเป็นหมูหรือเนื้อเทพเซียนสามารถดื่มกินได้แต่ต้องเป็นเนื้อที่ตายอันเกิดจากธรรมชาติขอรับ เพื่อไม่ให้ผิดกฎสวรรค์ที่ห้ามเทพเซียนเข่นฆ่าสัตว์หรือมนุษย์ผู้บริสุทธิ์”
“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นคงเป็นแดนเหมันต์ที่มีปัญหา ข้าคิดว่ากลับไปแดนเหมันต์ ให้ท่านพ่อลองลิ้มรสอาหารพวกนี้แล้วเปลี่ยนกฎการดื่มกินอาหารเสีย”
เป่ยฟางหรงย่อมไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกนางจึงต้องดื่มกินแต่ของเย็นจืดชืดเช่นนั้นด้วย
“อาหารที่นี่คงดีที่สุดในสามภพแล้วใช่หรือไม่? ”
เป่ยฟางหรงพ่นกระดูกออกจากปาก สิ้นไร้ท่าทางสง่างามอย่างสิ้นเชิง เศษกระดูกกองอยู่ที่โต๊ะ นางกินจนพุงกลมก็ยังไม่หยุดกิน แต่คนที่มีความสุขหาใช่นางกลับเป็นเซียนน้อยผู้ปรุงอาหารผู้นั้น
“จะว่าไปแล้ว อาหารที่เลิศรสที่สุดหาใช่อยู่บนแดนสวรรค์ขอรับ”
เป่ยฟางหรงฟังอย่างสนใจ นางตัดสินใจแล้วว่าจะใช้ชีวิตที่เหลือเสพสุขกับการดื่มกินให้เต็มที่ นางพลาดของดีมาตลอดชีวิตแล้วนางจะไม่ยอมให้ตนเองเป็นเช่นนั้นอีกเป็นอันขาด เป่ยฟางหรงยกถ้วยเต้าฮวยขึ้นซด ใช้หลังมือเช็ดปากชามตรงหน้าว่างเปล่ารู้สึกว่าตนเองถูกเติมเต็มไปด้วยความสุขอันล้นเหลือ
“ยังมีสถานที่ ที่อาหารอร่อยอีกกว่าที่นี่อีกหรือ”
“มีขอรับ”
“เป็นที่ใดเจ้ารีบบอกข้า”
ความตื่นเต้นที่อยู่ภายในใจของเป่ยฟางหรงแทบจะระงับไม่อยู่แล้ว
“แดนมนุษย์ขอรับ”
“ขอรับ ที่นั่นวัตถุดิบล้วนสดใหม่ อย่างเช่นหมูก็เป็นหมูที่เพิ่งตายหาใช่หมูแช่แข็งพันปีเหมือนที่นี่ หรือจะเป็นปลาก็ยังดิ้นอยู่บนเขียงก่อนที่จะนำมาปรุงอาหาร เพราะวัตถุดิบแสนวิเศษเช่นนั้นอาหารแต่ละจานที่ทำออกมาจึงเลิศรสขอรับ”
“เช่นนั้นหรือ แดนมนุษย์นี่วิเศษจริง ๆ”
ได้ฟังดังนั้นเป่ยฟางหรงรีบย้ายร่างของตนเองไปหาเทพอัคคีที่ตำหนักทรงงานของเขาทันใด เทพอัคคีในขณะนี้กำลังเคร่งเครียดหารือเรื่องปราบปีศาจก่อนที่เขาจะพาเป่ยฟางหรงไปจุติบนโลกมนุษย์เพื่อบำเพ็ญตบะได้ยินเสียงของสตรีดังก้องจึงเงยหน้าขึ้นด้วยความโกรธกรุ่น เขากัดฟันกรอดเรียกชื่อนางด้วยโทสะ
“เป่ยฟางหรง…นี่เจ้าไม่ฟังคำสั่งข้าเลยใช่หรือไม่!!!”
“อาจารย์ ท่านอาจารย์ ข้าจะลงไปแดนมนุษย์ ข้าจะไปบำเพ็ญเพียร ข้ายินดีลงไปแดนมนุษย์แล้ว”