ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เป่ยฟางหรงก็ถูกหลี่จิ้งลากออกจากที่นอน แน่นอนว่าต้องเป็นที่นอนของเขา ถึงนางจะมีเรือนพักเป็นของตนเองเป่ยฟางหรงก็ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่จะใช้มันให้คุ้มค่า เรือนนั้นสำหรับนางจึงนับเป็นเพียงห้องพักเอาไว้ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เท่านั้น
นางตื่นยังไม่เต็มตาต้องถูกลากออกมาอย่างนี้ทุกวันถึงผ่านมาหลายปีแล้วเป่ยฟางหรงก็ยังไม่เคยชินเสียที ศิษย์พี่ของนางยิ่งตื่นเช้า ทุกวันต้องพบเขารออยู่ด้านนอกแล้ว
“รีบไปล้างหน้าถูฟันเสียวันนี้อาจารย์ให้พาเจ้าไปฝึกร่างกายให้แข็งแรง”
เป่ยฟางหรงหน้างอ ตาของนางแทบจะลืมไม่ขึ้นยังต้องฝึกร่างกายอันใดอีก นางเบะปากชูมือให้เขาดู
“คราวที่แล้วท่านให้ข้ายกถังน้ำทั้งวันเพื่อฝึกกล้ามเนื้อมือ ดูสิมือของข้ายังไม่หายดีเลยครานี้ศิษย์พี่จะให้ทำสิ่งใดอีก”
เป่ยฟางหรงมักเป็นพวกขี้เกียจ สิ่งใดที่ต้องออกแรงนางมักจะหลีกเลี่ยงรวมทั้งการฝึกวรยุทธ์ด้วย ความคิดของนางนั้นคิดว่าตนเองเกิดมาเป็นสตรี เก่งเรื่องอาคมก็เพียงพอเหตุใดต้องหาเรื่องลำบากฝึกวรยุทธ์ให้มือด้านชาด้วย
“ก็เพราะคราวก่อนตอนปะทะกับปีศาจ วรยุทธ์เจ้าอ่อนด้อยจึงพลาดท่าเสียที อาจารย์ต้องการให้เจ้าอย่างน้อยเป็นขั้นพื้นฐานเพื่อเอาตัวรอด ทั้งหมดล้วนเป็นผลดีต่อตัวเจ้า”
“ข้าเป็นองค์หญิงผู้สูงส่ง เหตุใดต้องมาลำบากเช่นนี้ศิษย์พี่พูดมากข้าจะสั่งคนให้ดึงลิ้นดีหรือไม่”
จิ้งหูถอนหายใจ เขาใช่จะกลัวคำขู่ของนางนับตั้งแต่นางเหยียบเข้ามาที่นี่ฝ่าบาทก็ละทิ้งนางเสียแล้ว นางคงไม่รู้ตัวว่าตนเองมีดวงชะตาอย่างไร
ยังคงเชื่อเหตุผลโง่ ๆ ที่อาจารย์กล่าวอ้าง นางไม่เคยสงสัยว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงได้ปล่อยนางออกจากวังอย่างง่ายดายเพื่อมาเป็นศิษย์ของสำนักซินเซวียนกัน
สำหรับนางแทบจะไร้ตัวตนในราชสำนักแล้ว นอกจากเบี้ยหวัดอุดหนุนที่ฝ่าบาทส่งมาให้สำนักซินเซวียนมากมายเพื่อให้เลี้ยงดูนางแทนราชสำนักแล้ว ฝ่าบาทพระองค์นั้นก็ไม่เคยอนาทรร้อนใจกับองค์หญิงผู้นี้อีก
สาเหตุทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยออกมา
จิ้งหูสั่งสอนนางอีกหลายประโยค
“ทั้งหมดล้วนเพราะอาจารย์หวังดีต่อเจ้า หากเจ้ามีวรยุทธ์รวมกับอาคมที่มีแล้วย่อมเอาตัวรอดได้ ล่าสุดที่เจ้าพลาดท่าถูกพิษเพราะพวกมันโจมตีจากด้านหลังไม่ใช่หรือ หากมีวรยุทธ์อย่างน้อยความรู้สึกเจ้าจะไวขึ้น ดังนั้นรีบไปจัดการธุระส่วนตัวของตนเองให้เสร็จแล้วมาพบศิษย์พี่ที่ลานฝึก”
จิ้งหูพูดจบองค์หญิงผู้สูงส่งก็หลับไปเสียแล้ว นางนั่งลงบนเก้าอี้ตั้งแต่เมื่อใดเขายังไม่รู้ด้วยมัวแต่ร่ายประโยคยืดยาวเหล่านั้น
จิ้งหูกำลังจะปลุกนาง เชือกที่ข้อมือของเป่ยฟางหรงกลับคลายตัวยืดขยายเป็นเส้นยาว กลายเป็นแส้ขนาดใหญ่ฟาดเข้าที่ก้นของนางเต็ม ๆ
เป่ยฟางหรงสะดุ้งโหยง เสียงของอาจารย์ลอยมาในโสตประสาท
“พ่อแม่เจ้าเป็นหมูหรืออย่างไร จึงให้กำเนิดลูกหมูที่ขี้เกียจตัวเป็นขนวัน ๆ เอาแต่กินกับนอนเช่นนี้”
เป่ยฟางหรงทั้งเจ็บก้นทั้งเจ็บใจ นางร้องตะโกนเสียงดัง
“ไปแล้ว ข้าไปแล้วท่านเลิกตีข้าได้แล้ว”
และนางก็เตลิดกลับเรือนพักในขณะที่เชือกอาคมเส้นนั้นไล่ฟาดก้นนางยังกับกำลังหวดสุนัขขี้ขโมยตัวหนึ่ง
“อาจารย์”
หลี่จิ้งในอาภรณ์สีแดงเพลิงเดินออกมาจากเรือนพักของตนเองด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ข้าให้เจ้ารับผิดชอบดูแลนางก็จงดูให้ดี อย่าให้นางเถลไถลได้อีก พวกมันใกล้จะหาตัวนางเจอแล้วหากวรยุทธ์นางไม่ดีขึ้นหากพวกมันพบเข้า นางต้องลำบากแน่แล้ว”
“อาจารย์ท่านจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าคนพวกนั้นคือผู้ใด อย่างน้อยข้าจะได้ช่วยป้องกันได้ขอรับ”
“ความลับสวรรค์หากยังไม่ถึงเวลาข้าไม่อาจแพร่งพรายได้ หน้าที่ของเจ้าจงทำให้ดีเมื่อถึงเวลาข้าจะบอกเจ้าเอง”
“ขอรับอาจารย์”
หลี่จิ้งได้ยินเสียงผิดปกติ เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ฟ้ายังไม่สางแต่ด้านบนกลับมีอูยา*บินวนอยู่หลายตัว จิ้งหูไม่เห็นถึงความผิดปกติ หลี่จิ้งกลับร่ายอาคมเสกเปลวเพลิงขึ้นมาลูกใหญ่ แล้วเขวี้ยงขึ้นไปบนท้องฟ้า
เปลวเพลิงแผดเผาอูยาหลายตัวที่บินวน ทุกตัวหาได้กลายเป็นนกเผาทั่วไปกลับแปรเปลี่ยนเป็นยันต์หลายแผ่นถูกไฟมอดไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่าน