“ท่านเซียนยังต้องการสิ่งใดเพิ่มอีกหรือไม่”
อาหนงถามพร้อมกับทบทวนรายการอาหารที่นางสั่งมาอย่างคล่องแคล่ว
“หากพอมีเวลาก็แล้วแต่เจ้า อยากทำสิ่งใดเพิ่มก็จัดมาเลย”
“ข้าน้อยทราบขอรับ”
เป่ยฟางหรงเท้าคางรอคอยอาหารด้วยใจจดจ่อ กระทั่งมีเงาของคนผู้หนึ่งเดินมาด้านหลังสั่งเสียงเฉียบขาดออกมา
“อาหนงเจ้ายังจะเชื่อคำเท็จของนางอีกหรือ”
เป่ยฟางหรงได้ยินเสียงนั้นพลันดีดตัวขึ้นคล้ายตั๊กแตนที่กำลังตกใจ
“อาจารย์”
“เจ้าเพิ่งพ้นผิด คิดจะก่อเรื่องอีกแล้วเหตุใดขยันหาเรื่องให้ข้าปวดหัวเช่นนี้”
“หาใช่เช่นนั้นอาจารย์ หลายวันมานี้ข้านอนบนตัวท่านทุกวันเห็นว่าท่านซูบผอมไปมาก ขยับไปมาก็ถูกของแข็งของท่านทิ่ม ของนี้ทั้งแข็งทั้งใหญ่ทั้งยาว ยามมันทิ่มก้นข้าหรือกระทั่งขาข้าหรือสึกว่าเจ็บเป็นอย่างยิ่ง อาจารย์หากไม่เชื่อท่านดูด้วยตาของตนเองก็ได้ ท่านดูก้นข้าไม่รู้เป็นรูแล้วหรือไม่ ข้าว่าท่านผอมเพียงนี้จึงอยากจะบำรุงท่านให้มากหน่อย ทั้งหมดนี้เพราะหวังดีล้วน ๆ ”
เป่ยฟางหรงยังหันก้นของนางให้หลี่จิ้งสำรวจ พร้อมทำหน้าตาโอดครวญ ในส่วนของอาหนงผู้ได้ยินเต็มสองรูหู อะไร แข็ง ๆ อะไร ใหญ่ ยาว แถมยังทิ่มตูดคนได้อีก เขาตกใจอ้าปากค้างร้อง โอ้ ออกมาคำหนึ่ง มือไม้อ่อนยวบถึงกับจับตะหลิวในมือไม่อยู่แล้ว เป็นครั้งแรกในชีวิตที่อาหนงทำอาวุธคู่กายหลุดมือเช่นนี้
ในขณะที่หลี่จิ้งใบหน้าแดงก่ำ แทบจะจับร่างของเป่ยฟางหรงเขย่าแรง ๆ
“เหลวไหล เจ้า..ศิษย์ไม่รู้ความ”
แล้วเขาพลันหันสายตาพิฆาตไปมองที่อาหนง เป็นสัญญาณเตือนว่าหากเจ้ากล้าเอาคำพูดเหลวไหลของเป่ยฟางหรงไปบอกต่อผู้อื่น เจ้าย่อมไม่ได้ตายดีแน่!!
อาหนงสติยังไม่กลับมาเท่าใด ยังต้องมาเจอสายตาขู่เข็ญของเซียนซือ*เจ้าสำนักอีก เหตุใดความซวยจึงตกมาอยู่กับพ่อครัวตัวน้อย ๆ เช่นเขา อยู่ดีไม่ว่าดีต้องมารู้เรื่องลับของบุคคลระดับสูงสุดในสำนักนี้อีก
หากต่อไปข่าวนี้เล็ดลอดออกไป ไม่แน่หลี่เซียนซือคงได้คิดว่าเขาเป็นคนปากพล่อยปล่อยข่าวเป็นแน่
* ยามห้าย เวลาประมาณ 3-4 ทุ่ม
* เซียนซือ เป็นคำเรียก เจ้าสำนักหรือผู้อาวุโสที่ฝึกวิชาเซียนด้วยความเคารพ
หลี่เซียนซือ หมายถึง เจ้าสำนักหลี่ที่เคารพ