“ขออภัยขอรับ แต่มันคันปากอดไม่ได้จริง ๆ”
ถงถงซึ่งเป็นกิเลนสัตว์เทพของเขา อย่างไรก็ยังนับเป็นเทพผู้หนึ่งหากถงถงลงมือ ด้วยตบะของสัตว์เทพที่มีอยู่เต็มเปี่ยมปีศาจที่เก่งกล้าในโลกมนุษย์มีหรือจะสู้เขาได้ ถงถงจึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาวุ่นวายกับการฝ่าด่านเคราะห์ของเป่ยฟางหรงและหลี่จิ้งในครานี้
เขาไม่อาจทำร้ายปีศาจได้แต่เพียงป้องกันไม่ให้ปีศาจมาทำร้ายคนที่เขาคุ้มครองย่อมทำได้โดยไม่ผิดกฎ
“พวกท่านลุกขึ้นเถิด” หลี่จิ้งหันไปทางผู้เฒ่าและชาวบ้านที่ยังคงมีน้ำตานองหน้า
“หลี่เซียนซือจะพำนักที่หมู่บ้านสักคืนหรือไม่ขอรับ”
ท่านผู้เฒ่าเอ่ยขึ้น
“ตัวข้ายังมีธุระสำคัญ คงจะทิ้งศิษย์กลุ่มหนึ่งไว้คุ้มครองคนในหมู่บ้าน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะออกติดตามปีศาจร้ายหากโชคดีสตรีที่ถูกจับไปไม่ถึงแก่ชีวิตเสียก่อนข้าสัญญาว่าจะนำพวกนางคืนให้แก่พวกท่าน”
เสียงร้องห่มร้องไห้ดังระงมขึ้นอีก หลี่จิ้งไม่อาจรั้งรอได้อีกต่อไป เขาจึงเอ่ยว่า
“ค่ำคืนนี้จะมีการวางค่ายกลจับปีศาจของสำนักเซียน ชาวบ้านห้ามออกมาเพ่นพ่านเด็ดขาดจนกว่าตะวันจะขึ้นในวันรุ่งขึ้น หาไม่อาจถูกวิญญาณปีศาจเข้าสิงหรืออาจทำลายพิธี”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ จะกำชับทุกคนให้ดี”
ความจริงถึงไม่ใช่ช่วงเวลากลางคืน ชาวบ้านก็หวาดกลัวมากอยู่แล้วนอกจากบุรุษที่ต้องออกมาตักน้ำหาฟืนขุดมันล่าสัตว์ด้วยความจำเป็นแล้ว พวกเขาแทบจะไม่กล้าโผล่ออกมาจากบ้านแม้แต่คนเดียว
หลังจากสั่งการกำชับศิษย์ทุกคนเป็นอย่างดี เขาก็เรียกเป่ยฟางหรงให้ออกมาจากรถม้า เตรียมตัวไปยังหุบเขากระบี่เพื่อเลือกอาวุธคู่กายให้นาง
เป่ยฟางหรงดีใจเป็นอย่างยิ่ง นางได้ยินเสียงของศิษย์พี่จิ้งหูด้วยความคิดถึงเขาเป็นอย่างมากแทบอยากจะกระโดดลงมา เสียแต่อาจารย์อาที่ได้รับคำสั่งให้เฝ้านางเอาไว้ใช้สายตาดุ ๆ มองมา
เป่ยฟางหรงหากเชื่อฟังนางจะได้รับขนมในกล่องไม้นั่น จึงยอมเชื่อฟังโดยดี กระทั่งได้ยินคำสั่งของอาจารย์ให้ลงมาได้จึงกระโดดโลดเต้นเป็นกวางน้อยลงมาจากรถ
สตรีร่างอรชรผู้หนึ่ง ผิวพรรณขาวผ่องยิ่งกว่าหิมะขาว ใบหน้างามล้ำในอาภรณ์สีแดงอ่อนอันเป็นเครื่องแบบของสำนักซินเซวียนก้าวออกมา เพียงผิวกายของนางกระทบกับแสงแดดอบอุ่นก็คล้ายจะเปล่งประกายระยิบระยับจนผู้ที่กำลังจ้องมองต้องหรี่ตาอีกทั้งยังมองอย่างตกตะลึง
เพียงเท้าสัมผัสพื้นสตรีผู้นี้ก็วิ่งราวกับเหาะมาเกาะแขนของศิษย์พี่จิ้งหูทันใด ไม่สนใจสีหน้าดำทะมึนของหลี่จิ้งที่จ้องนางคล้ายโกรธอยู่ในใจ
หลี่จิ้งสะบัดพัดคราหนึ่ง แขนของนางก็หลุดจากแขนของจิ้งหูราวกับถูกผู้ใดกระชากออกอย่างแรง เป่ยฟางหรงย่อมรู้อยู่แล้วว่าเป็นฝีมือของผู้ใด นางจึงไม่โอดครวญ
แต่อาจารย์ท่านจะเบาแรงไม่ได้หรือ ข้าเจ็บนะ ทีข้าจับท่านทุกส่วนท่านยังอนุญาตเลย เหตุใดแตะศิษย์พี่ไม่ได้เล่า ลำเอียงยิ่งนัก ท่านจะหวงศิษย์พี่เอาไว้จับคนเดียวไม่ได้เด็ดขาด ข้าไม่ยินยอม!!!
เป่ยฟางหรงได้แต่โอดร้องในใจ
จิ้งหูรู้ว่าอาจารย์ไม่พอใจแล้ว กฎเกณฑ์ของสำนักเหตุใดเป่ยฟางหรงถึงได้ลืมอยู่เรื่อย เขาจึงเอ่ยว่า
“ชายหญิงไม่ควรสัมผัสกัน เจ้าระวังมารยาทด้วยศิษย์น้องที่นี่หาใช่หุบเขาซินเซวียนของพวกเรา”
“ก็ได้ เพียงแต่ข้าคิดถึงท่านนี่นา ท่านไม่ได้รับบาดเจ็บใช่หรือไม่”
ถ้าเป็นคำพูดของศิษย์พี่เป่ยฟางหรงย่อมเชื่อฟังอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
จิ้งหูยิ้มอย่างรู้ทัน ที่นางคิดถึงเขาคงมีเพียงเรื่องเดียว เขาจึงล้วงเอาบางสิ่งออกจากอกเสื้อตนเอง เป็นห่อกระดาษสีน้ำตาลไหม้กลิ่นหอมของขนมโชยออกมา
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะมาพร้อมอาจารย์เลยเตรียมไว้ให้”
เป่ยฟางหรงรับห่อสีน้ำตาลออกมาแล้วสูดดมความหอมนั้นเข้าจมูก ร้องตะโกนอย่างดีใจ
“เย้ ศิษย์พี่ดีที่สุด”
เพียงเท่านั้นนางก็ไม่อาจเอ่ยวาจาได้อีกต่อไป หลี่จิ้งร่ายคาถาปิดปากนางเอาไว้ จิ้งหูกลั้นยิ้มหากจะบอกว่าผู้ใดถูกคาถาปิดปากของอาจารย์บ่อยที่สุด ก็คงเป็นศิษย์น้องของเขาผู้นี้
วันหนึ่งหากเป่ยฟางหรงไม่ถูกทำโทษด้วยคาถานี้สักครา เขาคิดว่าอาจารย์ในวันนั้นคงจะไม่สบายเป็นแน่