รู้ตัวอีกทีเป่ยฟางหรงก็อยู่ที่ไหนไม่รู้ เบื้องหน้ายังมีคนผู้หนึ่งท่าทางองอาจ ขาวมีผมสีขาวโพลนเต็มศีรษะแต่ใบหน้ากลับอ่อนเยาว์ยิ่ง ดวงตาสีนิลของเขาคล้ายจะเย็นชาแต่ครั้นเมื่อสบตากลับรู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคยอย่างประหลาด
เขาคุกเข่าลงท่าทางสง่างามในชุดขาวที่พลิ้วไหว เป่ยฟางหรงมองเขามือของคนผู้นี้ยังจับนางอยู่ ความรู้สึกยามที่เขาสัมผัสหาได้อบอุ่นเหมือนมือของหลี่จิ้ง กลับให้ความรู้สึกหนาวยะเยือก
“ฝ่าบาทน้อยท่านสบายดีหรือไม่ขอรับ”
เป่ยฟางหรงมองซ้ายขวา คนผู้นี้กำลังเรียกนางอยู่หรือ นางเป็นองค์หญิงยังไม่หาญกล้าที่จะชิงบัลลังก์ของเสด็จพ่อ แค่คิดก็ขนหัวลุกแล้ว เป่ยฟางหรงโบกมือแล้วเอ่ยว่า
“ข้ารู้ว่าท่าทางของข้านั้นสูงส่งยิ่ง แต่ข้าเป็นเพียงองค์หญิงยังไม่หาญกล้านังบนบัลลังก์นั้นหรอก”
คนผู้นั้นอมยิ้ม ดวงตาคู่งามของเขาไหวระริก เป่ยฟางหรงเห็นขนตายาวงอนนั้นรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง พวกเขายังพูดคุยกันแบบสนิทสนมคล้ายสหายสนิท
“ว่าแต่เจ้าพาข้ามาด้วยเหตุอันใด ท่าทางเช่นนี้คงไม่คิดร้ายใช่หรือไม่”
“ข้าหรือ ไม่มีวันคิดร้ายต่อท่านอย่างแน่นอน”
กล่าวจบเขาก็ดึงเป่ยฟางหรงมาอีกด้าน นางเพิ่งสังเกตว่ามีโต๊ะและเก้าอี้ตั้งอยู่กลางป่า ยังมีถ้วยชามตะเกียบและหม้อสองสามใบพร้อม
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นผู้ใด แต่ไม่มีเวลาเล่นแล้วข้าต้องกลับไปหาอาจารย์”
นางไม่อาจใช้คาถาเคลื่อนย้ายได้เนื่องจากไม่รู้ว่าอาจารย์อยู่ที่ใดกันแน่ จึงไม่รู้ว่าจะย้ายร่างของตนเองไปที่ใด
“ข้าเข้าใจขอรับ แต่ท่านนั่งแล้วดื่มรังนกตุ๋นเสียหน่อย ข้าเฝ้าฝึกฝนมาหลายสิบปีเพื่อพัฒนาฝีมือการทำอาหารเพื่อท่าน”
เป่ยฟางหรงมึนงงยิ่ง เหตุใดคนผู้นี้จึงต้องฝึกฝนเพื่อนางเช่นนี้
“ที่แท้เจ้าคือผู้ใดกันแน่ อย่ามัวอ้ำอึ้งบอกข้ามาเถิด”
คนผู้นั้นแย้มยิ้มงดงาม ไอเย็นลอยออกมาจากร่างของเขา
“นามของข้าคือจวนแซ่หยีขอรับ”
“แล้วเจ้ารู้จักข้าได้อย่างไร” นางถามต่อ
“ข้าเป็นภูตรับใช้ของท่านขอรับ ข้าไม่ใช่มนุษย์บอกท่านได้เพียงเท่านี้เรื่องอื่นนั้นล้วนไม่อาจพูดได้”
กล่าวจบเขาก็จับมือนางถ่ายทอดพลังสายหนึ่งอันคุ้นเคยให้เป่ยฟางหรง เขาเป็นผู้ใดในตอนนี้ด้วยพลังสายนี้เป่ยฟางหรงจึงเชื่อเขาอย่างสนิทใจ
นางดีใจยิ่งที่มีภูตเช่นเซียนซือผู้เก่งกาจ การมีสัตว์เวทย์มาคอยตามรับใช้หรือมีภูตคอยคุ้มครองย่อมเป็นสิ่งยืนยันว่าพวกเขาเป็นคนของสรวงสวรรค์
เป่ยฟางหรงเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ย่อมรู้ถึงเรื่องนี้ดี นี่แสดงว่านางและหลี่จิ้งต้องทำความผิดบางอย่างจึงถูกถีบตกสวรรค์ให้มาฝ่าด่านเคราะห์เป็นแน่ เพราะหลี่จิ้งมีถงถงซึ่งเป็นกิเลนไฟคอยรับใช้
นางรู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง มีภูตที่หล่อเหลางดงามเช่นนี้ย่อมดีกว่าเจ้าถงถงกิเลนไฟหน้าตาอัปลักษณ์นั่น เพียงรู้สึกว่านางเหนือกว่าอาจารย์ด้วยเรื่องนี้ในใจพลันเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าเข้าใจแล้ว เหตุใดเจ้าเพิ่งโผล่มาเล่าเจ้าถงถงนั่นตามอาจารย์ไปจนถึงเขาซินเซวียนเลย”
“ข้าน้อยเพิ่งได้รับอนุญาตจากเบื้องบนขอรับ จึงมาดักรอท่านที่นี่แล้วทำอาหารรอ ฝ่าบาทน้อยชิมนี่เสียก่อนเถิด ข้าตั้งใจทำสุดฝีมือ ไม่ปล่อยให้เย็นเป็นอันขาดข้าน้อยจำได้ว่าท่านเคยบอกว่าของร้อนดียิ่ง”
เขาตักรังนกตุ๋นร้อนกรุ่นใส่ชาม ก่อนฝ่าบาทน้อยของเขาลงมาจุติ นางเคยตำหนิหยีจวนเรื่องฝีมือการทำอาหาร ตั้งแต่นั้นมาเขาก็มุ่งมั่นเพื่อวันที่ได้พบหน้าอีกครั้ง
หยีจวนเป็นฝ่ายป้อนอาหารให้เป่ยฟางหรงด้วยความเคยชิน เพราะเป็นคนที่ตนเองสร้างขึ้นมาจากหิมะ เป็นผู้ให้ชีวิตเขาความรู้สึกเช่นนี้ถึงจะลืมเลือนก็เกิดขึ้นมาเองอย่างประหลาด สนิทสนมคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง
“ที่มาตอนนี้เพราะจะเตือนท่าน การเลือกอาวุธนั้นท่านยังฝึกไม่ถึงขั้นจินตัน(สูงสุด) ขอให้หลีกเลี่ยงอาวุธทุกชนิดที่เกี่ยวข้องกับไฟ ไม่เช่นนั้นมันจะดูดซับพลังของท่านจนท่านอาจต้านไม่ไหว”