เป่ยฟางหรงไม่เข้าใจ ที่นางร่ำเรียนอาคมล้วนเกี่ยวกับไฟทั้งสิ้น เพราะเป็นวิชาที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพกาลของสำนัก ที่ผ่านมานางยังเป็นศิษย์ดีเด่น เก่งกาจยิ่งกว่าใคร หากได้อาวุธที่ส่งเสริมจะไม่ดีหรือ
“ข้ารู้ว่าท่านยังแคลงใจ แต่ฝ่าบาทน้อยขอรับขอให้ท่านเชื่อข้าเถิดพยายามหลีกเลี่ยงเสีย และเรื่องนี้ท่านก็อย่าได้บอกหลี่จิ้งเด็ดขาดเข้าใจหรือไม่ขอรับ”
“เหตุใดบอกอาจารย์ไม่ได้”
“ความลับสวรรค์ขอรับข้าไม่มีสิทธิ์พูดเรื่องนี้”
เป่ยฟางหรงพยักหน้า
หยีจวนป้อนรังนกตุ๋นให้นางคำหนึ่ง นางรู้สึกว่าอร่อยล้ำเลิศจึงชมเขาไปมาก ส่งผลให้หยีจวนดีใจจนน้ำตาแทบไหล
นั่นทำให้เป่ยฟางหรงลืมไปแล้วว่าอีกด้านหนึ่งมีผู้ใดกำลังตามหานางด้วยความร้อนใจ หยีจวนเพิ่งป้อนรังนกตุ๋นให้นางไปสองคำ หลี่จิ้งก็ปรากฏกาย
เขาไม่ฟังสิ่งใดทั้งสิ้น ฟาดลูกไฟใส่หยีจวนอย่างแม่นยำ บุรุษผู้นั้นพลันละลายต่อหน้าต่อตาของเป่ยฟางหรง นางตกใจอ้าปากค้าง กระนั้นยังจับชามรังนกตุ๋นอันแสนอร่อยแน่นด้วยกลัวว่าจะทำมันร่วงหลุดมือ
ถึงเทพอัคคีจะเป็นเพียงมนุษย์ที่ฝึกวิชาเซียนในตอนนี้ หากเทียบกับตบะหมื่นปีของหยีจวนแล้วฝีมือย่อมแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่กลับสามารถละลายร่างน้ำแข็งของเขาให้กองลงไปกับพื้นได้อย่างง่ายดาย
หยีจวนรวบรวมกายของตนเองขึ้นมาใหม่ เป่ยฟางหรงถึงจะตกใจแต่รู้ว่าเขาเป็นภูตสวรรค์ย่อมเก่งกาจกว่าหลี่จิ้ง แต่เห็นเขาละลายแบบนั้นนางเริ่มไม่แน่ใจ หลังจากกลืนรังนกตุ๋นจนหมดชามนางก็กางแขนออก ปกป้องหยีจวนไม่ให้หลี่จิ้งทำร้ายเขาอีก
“อาจารย์ท่านเข้าใจเขาผิดแล้ว เขาเป็นภูตประจำกายข้าเองเจ้าค่ะ”
หลี่จิ้งขยับเข้ามาใกล้ร่างเป่ยฟางหรง จับนางให้หันหลังถ่ายทอดปราณสายหนึ่งเข้าไปในร่างแล้วสำรวจร่างกายของนางช้า ๆ เป่ยฟางหรงยืนนิ่ง ๆ จนในที่สุดการตรวจร่างกายก็เสร็จเมื่อหลี่จิ้งไม่พบว่ามีสิ่งใดในร่างนี้ผิดปกติ
“ถึงเป็นเช่นนั้นแต่การกระทำของเขาที่ลักพาเจ้ามาข้าเห็นว่ามีความผิดร้ายแรง ข้าจะร้องเรียนเรื่องนี้ไปที่แดนสวรรค์ให้เขากลับไปเสีย”
หลี่จิ้งใบหน้าทะมึนดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เป่ยฟางหรงตกใจนางเพิ่งจะมีหน้ามีตาบ้าง อาจารย์ก็จะส่งเขากลับไปแล้วหรือ นางยังไม่ได้เอาไปคุยโม้ให้ผู้ใดฟังเลย
“ไป” เขาจับแขนเป่ยฟางหรง รู้สึกว่ามือของนางเย็นเป็นอย่างยิ่งจึงถ่ายทอดพลังของตนเองเพิ่มเข้าไปอีกส่วนหนึ่ง
“ต่อไปอย่าได้จับมือถือแขนกับผู้ใดอีกเข้าใจหรือไม่”
“แต่อาจารย์”
“นี่คือคำสั่ง”
เป่ยฟางหรงพยักหน้า หยีจวนกลับคืนสู่ร่างปกติแล้ว ถึงบนสวรรค์เขาจะกลัวเทพอัคคีอยู่มากแต่นี่คือโลกมนุษย์ คนผู้นั้นย่อมสู้เขาไม่ได้ หยีจวนที่ไม่ได้พบหน้าเป่ยฟางหรงมานานแอบไปศึกษาตำราเวทย์ได้อาจารย์ดีมาผู้หนึ่ง แบ่งตบะให้เขาหลายพันปีทำให้เขายิ่งแข็งแกร่งขึ้นมาก
“แล้วข้าจะไปพบท่านหลังท่านได้ศาสตราวุธแล้วนะขอรับ ตอนนี้ท่านไปเถิด”
“เจ้าไม่เป็นไรนะ” เป่ยฟางหรงยังอดเป็นห่วงเขาไม่ได้ คนผู้นี้มีฝีมือในเรื่องการทำอาหารนัก คนรับใช้ดี ๆ หายากเช่นนี้นางไม่อยากเสียเขาไป
“ขอรับ”
เป่ยฟางหรงโบกมือให้เขา ใบหน้าหล่อเหลาประดุจประติมากรรมน้ำแข็งของหยีจวนยกขึ้น เพียงเขายิ้มคล้ายหิมะบนพื้นกลายเป็นสีระยิบระยับ ดูดึงดูดตาดึงดูดใจจนเป่ยฟางหรงตกตะลึง
หลี่จิ้งพานางย้ายร่างแล้ว เป่ยฟางหรงยังคงอยู่ในอาการเช่นเดิม หยีจวนภูตรับใช้ของนางผู้นั้น รอยยิ้มของเขาช่างระยิบระยับและนุ่มนวลเสียจริง
หลี่จิ้งพานางข้ามเขตอาคมเข้ามาในสำนักกระบี่แล้ว ครั้นเห็นนางยังคงพร่ำเพ้อประดุจคนไร้สติ จึงใช้พัดเคาะศีรษะของเป่ยฟางหรงแรง ๆ ไปหนึ่งที
นางนอกจากจะไม่สำนึกว่าตนเองทำความผิดที่มัวแต่เอ้อระเหยไปกับบุรุษอื่น ยังยิ้มหน้าบาน
“อาจารย์หยีจวนดีจริง ๆ ข้าชอบเขายิ่งเขาเหมือนขนมสายไหมเลย ท่านว่าเขาจะกินได้หรือเปล่าเจ้าคะ”
หลี่จิ้งผู้ที่กำลังหงุดหงิดอย่างที่สุด ถึงกับสำลักน้ำลายออกมา เขาจับจ้องใบหน้าของนางแล้วเอ่ยว่า
“ไม่คนผู้นั้นกินไม่ได้เด็ดขาด”
“แต่เขาน่ากินนี่เจ้าคะ” เป่ยฟางหรงดีดขากระโดดตามเขาเป็นตั๊กแตน หลี่จิ้งหันมาทำตาดุให้นางสำรวมแล้วเอ่ยจริงจัง
“อย่าเอ่ยเรื่องเหลวไหลพวกนี้อีก หาไม่ข้าจะปิดปากเจ้า”
เป่ยฟางหรงคอตก บ่นอุบอิบเบา ๆ “ก็เขาน่ากินนี่เจ้าคะ”
เสียงของหลี่จิ้งคล้ายลอยมาตามสายลม
“ข้ากินได้ เอาไว้ข้าว่างจะให้เจ้าลองกินรับรองอร่อยยิ่ง”
เป่ยฟางหรงตาโต นางดีดขาเป็นตั๊กแตนเต้นไปรอบ ๆ ร่างกายของหลี่จิ้ง
“จริงนะเจ้าคะ ดูไปดูมาท่านก็น่ากินกว่าหยีจวนจริง ๆ ด้วย”