เป่ยฟางหรงยังดึงแขนเสื้อและดึงกางเกงของตนเองขึ้นให้เขาดูรอยเขียวช้ำเป็นทางยาว ใบหน้าของหลี่จิ้งคล้ายจะมีรอยยิ้มพาดผ่านและเจ็บปวดใจอยู่เล็กน้อย เขาดึงนางเข้ามากอดแล้วลูบศีรษะเบา ๆ
“ข้าเก่งใช่หรือไม่”
หลี่จิ้งไม่ตอบ เป่ยฟางหรงจึงซักไซ้
“ข้าอยู่กับท่านมานานเพียงนี้ท่านจะชมข้าสักคำไม่ได้หรือ ข้ารบกับกระบี่ผุ ๆ เล่มนี้มาได้แทบเอาชีวิตไม่รอด”
เป่ยฟางหรงตัดพ้อ หลี่จิ้งจึงเอ่ยว่า
“ทำได้ไม่เลว”
เป่ยฟางหรงดีใจยิ่ง คำชมอาจารย์ประดุจทองคำ นางซุกใบหน้าเข้าที่แผงอกของเขากอดอาจารย์แนบแน่น และแอบเช็ดใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อไคลกับเสื้อของเขาอีกครั้ง
หลี่จิ้งเพิ่งจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็ต้องทอดถอนใจด้วยมันเลอะไปด้วยคราบไคลของนางอีกจนได้ เอาเถอะ นางเพิ่งทำความชอบ ยกให้นางสักครั้ง
เป่ยฟางหรงส่งกระบี่ของตนเองให้หลี่จิ้ง เขาสำรวจอยู่ชั่วครู่พลันหยุดนิ่งเมื่อเห็นไพลินสีเงินที่ด้ามกระบี่ เขาเบิกตากว้างมองเป่ยฟางหรงอย่างตกตะลึง
“อาจารย์เป็นอย่างไรบ้างกระบี่ของข้า”
หลี่จิ้งกะพริบตาแล้วเอ่ยว่า
“ไป๋ฮวา กระบี่ดี”
เป่ยฟางหรงกระโดดโลดเต้นเมื่ออาจารย์พูดเช่นนี้ก็หมายถึงตามนั้น ถึงปลอกกระบี่จะผุพังสนิมเขรอะไปบ้างแต่ด้านในก็ยังคงสภาพดีอยู่มาก
“อาจารย์กระบี่นี้มีชื่อแล้วหรือเจ้าคะ”
“ใช่ กระบี่ไป๋ฮวา”
“ท่านดูข้าเลือกที่มันมีไพลินสีน้ำเงินด้วยเจ้าค่ะ ข้าเห็นว่าบนฮวาเปียวของท่านมีไพลินสีแดงเพลิงอยู่เช่นกันข้าเลยเลือกที่มีลักษรณะคล้ายกัน แต่กลัวว่าจะฟันได้ไม่กี่ครั้งมันจะหักเอาผุกร่อนเช่นนี้ แต่ถึงมันจะหักก็ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะไพลินนี้เป็นของหายากเราไปขายได้ราคาดีเลย”
“เหลวไหลกระบี่วิเศษนอกจากมันจะอยากทำลายตนเองไม่มีทางที่จะหักได้ เจ้าอย่าเที่ยวไปพูดเรื่องนี้กับผู้ใดอีก เขาจะหาว่าศิษย์ของเขาซินเซวียนขาดการอบรมสั่งสอนเรื่องพื้นฐานแค่นี้ก็ไม่เข้าใจ”
“ก็ท่านดูสภาพมันสิเจ้าคะ ข้าก็แค่ดูจากสภาพ”
“แต่กระบี่ผุพังที่เจ้าว่าก็ทำให้เจ้าเกือบสิ้นลมไม่ใช่หรือ หากไม่ใช่เพราะยาที่อาจารย์ให้กินเจ้าคิดว่าจะเอาชนะมันได้หรือ”
“อาจารย์ข้าแค่เหนื่อยนี่เจ้าคะ ด้วยฝีมือตนเองย่อมชนะได้แน่”
“เถียงคำไม่ตกฟาก”
หลี่จิ้งไม่พูดต่อแล้ว นางอยากคิดสิ่งใดก็คิดเถิด พูดกับนางก็เหมือนคุยกับสุนัข พูดไปพูดมามันก็เลียปากจนได้