เป่ยฟางหรงไม่ได้นำชุดมาเปลี่ยน นางจึงใส่เสื้อผ้าขาดวิ่นเดินตามอาจารย์ลงเขา กระทั่งเห็นเรือนของสำนักกระบี่อยู่ด้านหน้า มีศิษย์หลายคนตั้งขบวนเพื่อเดินมารับพวกเขา หลี่จิ้งจึงถอดเสื้อนอกของตนเองคลุมร่างกายที่เห็นเนื้อขาว ๆ วับๆ แวม ๆ ของเป่ยฟางหรง
เจ้าสำนักหุบเขากระบี่ย่อมมาต้อนรับเขาด้วยตนเอง เขาเป็นชายสูงอายุผู้หนึ่งท่าทางไม่เลวเหมาะสมกับตำแหน่งเป็นอย่างยิ่ง ถึงจะใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยผมขาวไปทั้งศีรษะกลับดูองอาจแข็งแรงไม่ต้องใช้ไม้เท้าช่วยเดินเหมือนคนแก่ทั่วไป
เจ้าสำนักหุบเขากระบี่นามว่าถังอู่อายุปีนี้ย่างแปดสิบปีแล้ว แต่เขายังแข็งแรงยิ่งเพราะฝึกยุทธ์มาตั้งแต่เยาว์วัยร่างกายเต็มไปด้วยมัดกล้าม เดิมทีเขาก็เลื่อมใสหลี่จิ้งอยู่แล้ว คนหนุ่มอนาคตไกลผู้นี้ไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ
หลายปีที่ไม่ได้พบหน้าบุรุษเบื้องหน้าเจ้าสำนักกระบี่ดูองอาจและหล่อเหลายิ่งกว่าเดิม รัศมีความสง่างาม สูงส่งแผ่กระจายไปรอบ ๆ จนกดข่มผู้อื่นให้ดูต่ำต้อยไปกว่าเขาได้อย่างง่ายดาย
ในขณะที่ศิษย์น้อยอยู่ยืนอยู่ด้านข้างของเขานั้นร่างเล็กบอบบาง ผิวขาวประดุจหิมะพิสุทธิ์ริมฝีปากแดงระเรื่อ ดวงตากลมโตแฝงไว้ด้วยความซุกซนและมีบางสิ่งบางอย่างที่น่าเกรงขามที่ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถกดข่มผู้คนได้เช่นกัน
ศิษย์ของสำนักกระบี่ล้วนเป็นชาวหุบเขาโดยกำเนิด ผิวพรรณค่อนข้างขาวซีดดวงตาหรี่เล็กแต่ร่างกายกับเต็มไปด้วยมัดกล้าม พวกเขาส่วนใหญ่นอกจากบ่าวรับใช้ล้วนเป็นบุรุษร่างโตทำให้เป่ยฟางหรงสนใจเป็นอย่างยิ่ง
นางส่งยิ้มเป็นมิตรให้บรรดาศิษย์พวกนั้น เมื่ออาจารย์ทั้งสองทักทายกันอย่างสุภาพเป่ยฟางหรงก็ประสานมืออย่างผู้น้อยทำความเคารพเจ้าสำนักหุบเขากระบี่ถังอู่
“หลี่เซียนซือ เชิญด้านในเถิดดูท่าว่าศิษย์น้อยของท่านผู้นี้จะลำบากมาไม่น้อย”
“รบกวนถังเซียนซือแล้ว”
“เกรงใจไปแล้ว ล้วนเป็นหน้าที่ของข้า หลายปีมานี้ไม่ได้พบท่านตั้งแต่ท่านได้กระบี่วิเศษไปชื่อเสียงของท่านก็เลื่องลือมาจนถึงหุบเขาที่ห่างไกลของข้าเลยทีเดียว”
หลี่จิ้งเพียงแต่ตามเจ้าสำนักหุบเขากระบี่ไปเงียบ ๆ เป่ยฟางหรงเดินตามเขามามือข้างหนึ่งยังเกี่ยวก้อยนิ้วของเขาอยู่ หลี่จิ้งดึงมือของนางออกแล้วเอ่ยเบา ๆ
“สำรวม”
เป่ยฟางหรงจับนิ้วเขาไม่ได้ก็จับชายเสื้อของเขาแทน นางไม่คุ้นเคยที่นี่การกระทำของนางจึงเป็นไปอย่างธรรมชาติอย่างน้อยได้สัมผัสอาจารย์สักหน่อยก็รู้สึกอุ่นใจขึ้น คราวนี้หลี่จิ้งไม่ดุนางแล้ว