สี่หมื่นปีผ่านไปดรุณีน้อยเติบใหญ่กลายเป็นฝ่าบาทน้อยแห่งแดนเหมันต์ที่แสนเย่อหยิ่งและเอาแต่ใจเป็นอย่างยิ่ง ด้วยที่ผ่านมานางถูกเลี้ยงดูโดยคำสั่งห้ามทำให้นางโกรธมิเช่นนั้นจะถูกแช่แข็ง เป่ยฟางหรงผู้นี้จึงหาได้มีคนกล้าแตะต้อง
พลังของนางนับวันจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งนางยังไม่รู้จักวิธีที่จะควบคุมอย่างถูกต้องเผลอทำร้ายคนไปมาก คนในแดนเหมันต์แม้แต่สุนัขจึงพยายามหลบหน้านางให้ไกลที่สุด เพียงรู้ว่านางจะเดินผ่านพวกเขาจำต้องหาเรื่องหลบหลีกให้ไกล
เป่ยฟางหรงจึงเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวเป็นอย่างยิ่ง นอกจากท่านพ่อและท่านแม่ก็มีเพียงหยีจวนหิมะหมื่นปีที่บำเพ็ญตบะจนกลายเป็นเซียนในแดนเหมันต์แล้วแทบจะไม่มีใครกล้าเล่นกับนางอีก
หยีจวนถือกำเนิดจากหิมะเขาจึงไม่กลัวการถูกแช่แข็ง อย่างมากเมื่อนางโกรธก็แข็งตัวไปทั้งวันหลังจากนั้นพอต้องแสงอรุโณทัยอ่อน ๆ ในยามเช้าเขาก็กลับกลายร่างเป็นคนได้ดังเดิม
หยีจวนและเป่ยฟางหรงจึงเติบโตมาด้วยกัน หยีจวนดีต่อนางมากจริง ๆ จนในวังเหมันต์ต่างคิดไปไกลว่าหยีจวนจะมีใจให้ฝ่าบาทน้อยเสียแล้ว
ในขณะที่ฝ่าบาทน้อยของพวกเขานอกจากวัน ๆ จะคิดเที่ยวเล่นแล้วจิตใจของนางยังเย็นชายิ่งกว่าน้ำแข็งในแดนเหมันต์เสียอีก
เทพอัคคีมาแจ้งข่าวล่วงหน้าถึงห้าสิบปี เพื่อให้เป่ยฟางหรงได้เตรียมตัวและเขาต้องการมาดูว่าเด็กน้อยผู้นั้นได้เติบโตจนพร้อมที่จะออกจากกรงทองของนางหรือยัง
บัดนี้สิ่งที่เขาเห็นเบื้องหน้านางหาใช่เด็กสาวตัวเล็กเช่นเคย นางกลายเป็นองค์หญิงแห่งแดนเหมันต์ผู้เลอโฉมไปทั่วสารทิศ ความงามของนางที่อยู่เบื้องหน้าแทบจะทำให้ฟ้าถล่มดินทลาย เสียแต่ดวงตาที่แข็งกร้าวนั่นทำให้เขารู้สึกถึงความ หนักใจ
เป่ยฟางหรงปรายตามองอาจารย์ผู้นั้นอย่างไม่แยแส กระนั้นนางก็ยังจับอาภรณ์ของเขาแน่น นั่นไม่ใช่ว่านางชื่นชอบเขาเพียงแต่นางชอบอาภรณ์ของเขาที่ไม่เหมือนผู้ใด
สีแดงเพลิงของอาภรณ์ส่งผ่านความอบอุ่นออกมาทำให้นางรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้สัมผัสและความนุ่มนิ่มของเนื้อผ้าชวนให้หลงใหลเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่านางจะให้คนตัดชุดเลียนแบบอาภรณ์ของเทพอัคคีเพียงใดก็หาได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่นางกำลังจับในตอนนี้ เทพอัคคีจะมาหานางทุกหมื่นปีนางมักจะกระโดดเกาะเขาไม่ห่างด้วยหลงใหลในอาภรณ์นั้น
กระทั่งในยามที่เขากลับไปยังแดนสวรรค์เขายังจำต้องทิ้งอาภรณ์ของตนเอาไว้ให้นาง แต่กระนั้นเป่ยฟางหรงยังไม่อาจพอใจเมื่อไร้ไออุ่นของเทพอัคคีนางกลับรู้สึกว่าอาภรณ์ผืนนั้นของเขาก็หาได้ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนเวลาที่มันอยู่บนกายของเขา นางจึงแอบเฝ้ารอเพื่อพบเขาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
ถงถงพยายามแยกร่างขององค์หญิงกับเทพอัคคีออกจากกัน องค์หญิงผู้นี้ปากคอเราะรายพูดจาไม่รู้เทพรู้มนุษย์กับท่านเทพผู้ยิ่งใหญ่ของเขาไม่พอ ยังกล้ามาแนบชิดแทบจะกายติดไปทุกครั้ง
ดูท่าทางที่นางทำนั่นสิ ดูเคลิบเคลิ้มและหวงแหนยิ่ง หากนางกินท่านเทพอัคคีเข้าไปได้คงทำไปแล้ว เป็นสตรีที่น่ากลัวเกินไปแล้ว
“ห่าง ๆ ข้าหน่อยกิริยาเช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือสำหรับตำแหน่งฝ่าบาทน้อยของเจ้า”
“ผู้ใดสนใจกัน ร่างกายของท่านหาได้มีอันใดดีแต่อาภรณ์ของท่านนี้ดียิ่งข้าชอบ ข้าอยากได้ถอดออกมาเถิด อย่าต้องให้ใช้กำลังบังคับกันเลย”
ถงถงกิเลนไฟถึงกับต้องยกเท้าอุดหู สตรีผู้หยาบคายไม่เจียมตนผู้นี้ขอให้บุรุษถอดอาภรณ์ต่อหน้าบิดามารดาของตนเอง นางเป็นผู้ใดและเทพอัคคีคือผู้ใดตบะและฐานะห่างกันคนละชั้นเช่นนี้เหตุใดกล้าพูดจาสามหาวเช่นนี้ออกมา
“บังอาจ”
เทพอัคคีเกินจะอดทนแล้ว เขาถึงกับตวาดออกมาคำหนึ่ง ด้านองค์ราชาถึงกับปาดเหงื่อในวาจาและพฤติกรรมของบุตรสาว เดิมทีนางเป็นคนถือตัวเป็นอย่างยิ่งแทบจะไม่มีใครแตะต้องตัวนางได้
แต่ทันทีที่เห็นเทพอัคคีกลับไม่เคยที่จะหักห้ามตนเองได้ทุกครา ที่ผ่านมาเพราะนางยังเยาว์วัยเทพอัคคีจึงไม่ถือสาแต่ครานี้นางโตเป็นสตรีสูงศักดิ์เหตุใดจึงไม่สามารถระงับอารมณ์ของตนเองได้อีก