นางยกแขนโอบรอบร่างของเขาแล้วกอดสุดแรง
“อาจารย์”
เป่ยฟางหรงเอ่ยออกมา หลี่จิ้งถูกนางกอดจนขยับกายลำบาก ก้มลงมากระซิบชิดริมหู
“ชู่ว์ เจ้าอย่าส่งเสียงดังมันหาพวกเราเจอเพราะเสียง”
เป่ยฟางหรงเข้าใจแล้ว นางเงยหน้าขึ้นริมฝีปากจุมพิตใบหูของหลี่จิ้งอย่างไม่ตั้งใจ เป่ยฟางหรงถามออกไปเสียงเบายิ่ง
“อาจารย์มันเกิดอะไรขึ้น ปีศาจพวกนั้น”
ทุกครั้งที่นางขยับปากก็เหมือนนางจุมพิตปลายหูของหลี่จิ้งรัว ๆ พลันหัวใจของหลี่จิ้งรู้สึกคัน คล้ายมีขนนกที่ปัดผ่าน เขากลืนน้ำลายลงคอปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอ เขายังกระซิบเสียงเบา
“คาดว่าเราตกอยู่ในข่ายอาคมปีศาจ ต้องกำจัดหมอกให้หมดถึงจะออกไปได้”
“อย่างไรเจ้าคะ” เป่ยฟางหรงส่งเสียงเบา ปากยังจุมพิตปลายติ่งหูเย็นของอาจารย์ไม่หยุด
หลี่จิ้งไม่มีเวลาตอบแล้วเมื่อปีศาจได้ยินเสียงและพุ่งมาอย่างว่องไว เขาโอบเป่ยฟางหรงอยู่ ไม่อยากให้นางคลาดกับเขาอีกมือหนึ่งจึงจับแขนนางแน่น อีกมือก็กวัดแกว่งกระบี่ พานางหมุนหนีปีศาจหลายรอบจึงสามารถตอบนางได้
“กระบี่ของเจ้าอยู่ที่ใดเอาออกมา”
“ในถุงเฉียนคุนเจ้าค่ะ”
หลี่จิ้งอยากจะทุบนางนัก ได้กระบี่ดีแต่ไม่พกติดกายเช่นนั้นเขาจะลำบากลำบนพานางไปเอากระบี่ทำไม แต่ในเวลานี้หาใช่เวลามาลงโทษเขาจึงบอกนางว่า
“ถุงเฉียนคุนอยู่ที่เอวข้า ดึงกระบี่ของเจ้าออกมา”
เป่ยฟางหรงรับคำ เพราะมองไม่เห็นมือจึงคลำมั่วซั่วกระทั่งจับด้ามกระบี่ได้ด้ามหนึ่ง นางเอ่ยเสียงเบาออกมาด้วยความประหลาดใจ
“อาจารย์ท่านห้อยกระบี่ของข้าไว้หรือเจ้าคะ ข้าจำได้ว่าใส่ไว้ในถุงเฉียนคุน เหตุใดห้อยอยู่ตรงนี้เจ้าคะ”
“มะ มะ ไม่ ชะช่ายยย”
พูดจบนางก็กำด้ามกระบี่แน่นดึงมันสุดแรง โดยไม่ฟังคำอธิบายที่รัวเร็วจนลิ้นพันกันของหลี่จิ้ง
ชั่วพริบตานั้น มือของเขาตะครุบข้อมือเป่ยฟางหรงรวดเร็ว ยับยั้งไม่ให้นางดึงด้ามกระบี่ของเขาอีก
หลี่จิ้งกัดฟันข่มความเจ็บปวด ใบหน้าบัดนี้จากเขียวกลายเป็นแดงจากแดงกลายเป็นม่วงและสลับกันไปมา เขาตัวงอกุมกระบี่ของตนเองเอาไว้ ไม่อาจร้องโหยหวนได้ทั้งที่เจ็บปวดเพียงนี้
เขาคือเทพอัคคีผู้สูงส่ง แต่วันนี้ศักดิ์ศรีนี้ถูกทำลายเสียสิ้นแล้ว
น้ำตาของลูกผู้ชายไหลออกมาสายหนึ่งด้วยความเจ็บแค้นใจ
“เป่ยฟางหรง!!! นี่หาใช่กระบี่ของเจ้า”