เป่ยฟางหรงย้ำเขาและพูดชัดถ้อยชัดคำ กวาดขนมในจานนั้นเข้าปากจนเรียบ
“ได้ขอรับ”
หยีจวนรับคำแผ่วเบา มองเป่ยฟางหรงอย่างห่างใย แล้วกัดริมฝีปากยอมย้ายร่างของตนไปแต่โดยดี
หยี่จวนรู้ว่าเมื่อสักครู่เขาได้ถูกหลี่จิ้งทำร้ายดวงตาจนบอดไปเสียแล้ว แต่เขาเป็นภูตน้ำแข็งเพียงดวงตาถูกละลายถึงจะเจ็บปวดบ้างแต่เมื่อปล่อยไว้ให้เย็นเขาก็สามารถสร้างดวงตาขึ้นมาใหม่ได้
กระนั้นเมื่อออกมาด้านนอก ถึงอากาศจะหนาวเหน็บจนน้ำกลายเป็นน้ำแข็งเช่นนี้หยีจวนกลับยังรู้สึกร้อนที่ดวงตา ทำอย่างไรก็ไม่หาย เขาจึงเดินสะเปะสะปะไปทั่วกระทั่งเดินชนต้นไม้ต้นหนึ่งเข้าจนล้มลง
ถงถงที่กลับมาจากการไปเอายาเพิ่มกำลังให้เป่ยฟางหรงบนสวรรค์เห็นภาพน่าอนาถนั้นเข้าถึงกับหัวเราะ
“ไปทำสิ่งใดให้นายท่านของข้าไม่พอใจอีกเล่า”
ถงถงเดินไปนั่งยอง ๆ พยุงร่างของหยีจวนให้นั่งพิงต้นไม้ หยีจวนผู้พยายามรวบรวมปราณทิพย์เพื่อรักษาตนเองอย่างยากลำบากเอ่ยขึ้น
“ข้าแค่ทำขนมให้ฝ่าบาทน้อยเท่านั้น ไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านเทพอัคคีถึงได้เผาดวงตาของข้าได้ แม้ในตอนนี้ตบะของข้ามากกว่าเขา แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดข้าจึงไม่อาจหลบหลีกเขาและยังรักษาตนเองไม่ได้เช่นนี้”
ถงถงหัวเราะ “นายท่านของข้าคงลงแรงทำลายดวงตาของเจ้าไปไม่น้อย ใช้พลังกับคนที่มีพลังทิพย์เป็นพันปีจนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้เกรงว่าตอนนี้นายท่านต้องสูญเสียกำลังไปหลายส่วน ข้าไม่เข้าใจว่าเขาที่เป็นมนุษย์จะลงแรงทำร้ายดวงตาของเซียนบนสวรรค์ด้วยเหตุใด ช่างสูญเปล่าจริงๆ”
ถงถงว่า
“แล้วดวงตาของข้าเล่า จะหาหรือไม่ถึงจะบอกว่าเขาอยู่ในร่างของมนุษย์แต่เขาคือเทพอัคคีเชียวนะ ข้าเกรงว่าชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่สามารถมองเห็นฝ่าบาทน้อยของข้าได้อีก”
ถงถงตบไหล่เขาด้วยความสงสาร
“วางใจเถิดพรุ่งนี้อาการตาบอดของเจ้าก็คงหายแล้ว ไปข้าพาเจ้ากลับไปพักในเรือน ว่าแต่เรือนของเจ้าอยู่ที่ใด”
“อยู่ในเรือนบ่าวด้านหลังจวน”
“เช่นนั้นเจ้าไปพักในเรือนของข้าจะดีกว่า อย่างไรก็สะดวกสบายกว่ามาก”
“ขอบใจเจ้า”
ภายในเรือนเพลิงอัคคียังคุกรุ่น เป่ยฟางหรงอารมณ์ดี เคี้ยวขนมหลายก้อนที่อยู่ในปากจนแก้มทั้งสองข้างป่องเป็นซาลาเปาอย่างมีความสุข
หลี่จิ้งเดินเข้ามาหานางช้า ๆ เป่ยฟางหรงไม่พูดเพราะปากไม่ว่าง กระทั่งเขากระชากเป่ยฟางหรงอย่างแรง เป่ยฟางหรงถึงกับสำลัก ด้วยขนมติดคอ ตาเหลือกแทบจะหลุดออกมาดูน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง
หลี่จิ้งเห็นดังนั้นพลันตกใจ เขาถ่ายพลังไปไว้ที่ฝ่ามือตบเข้าไปที่ด้านหลังของนาง ขนมชิ้นนั้นจึงยอมตกลงท้อง เป่ยฟางหรงร้องลั่น
“อาจารย์น้ำเจ้าค่ะ ข้าต้องการน้ำ”
หลี่จิ้งแม้โกรธเพียงใดก็ยังเดินไปหยิบน้ำชามาให้นางทั้งกา เป่ยฟางหรงไม่สนใจมารยาทกรอกน้ำชาอุ่นในกาลงคออย่างรีบร้อน
น้ำชาก็ดูเหมือนว่าจะอุ่นจนเกือบร้อนนางจึงถูกลวกที่ลิ้นเต็ม ๆ
“อาจารย์น้ำชาลวกลิ้นข้า เจ้าค่ะ ท่านดูแย่แล้วแดงหมดแล้วเจ้าค่ะ”
นางแลบลิ้นให้หลี่จิ้งดู ใบหน้าแดงก่ำจากน้ำร้อนที่แช่ ร่างกายที่แต่เดิมขาวราวกับหยกแกะสลักชั้นดีบัดนี้มีเลือดฝาดที่มองเห็นเป็นสีแดงระเรื่อกระจายอยู่ตามลำคอและแขนเรียวของนาง
“เจ้าเหตุใดยินยอมให้ผู้อื่นเห็น”
หลี่จิ้งคล้ายคนเสียสติ เขามองกราดไปทั่วร่างของเป่ยฟางหรง ลมหายใจติดขัด ลิ้นของนางที่ห้อยอยู่ตรงนั้นเป็นสีแดงระเรื่อเห็นแล้วยิ่งทำให้เขาขาดสติ
“อาจารย์ยังสามารถเห็นข้าได้นี่เจ้าคะ เหตุใดภูตประจำกายของข้าไม่อาจเห็นข้าได้เล่า”
เป่ยฟางหรงมึนงงเป็นอย่างยิ่ง ไม่เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูด
หลี่จิ้งขยับเข้าใกล้ร่างของนางแล้ว เขาจับคางของนางอย่างแรงบีบบังคับให้เงยหน้าขึ้น เป่ยฟางหรงมัวแต่สนใจลิ้นของตนเองกระทั่งไม่รับรู้ว่าตอนนี้หลี่จิ้งมีอาการประหลาดเพียงใด
“ข้าไม่อนุญาต ร่างกายของเจ้าหากไม่ใช่ข้าผู้ใดกล้าดู”
เป่ยฟางหรงยิ่งมึนงง
“ข้าไม่เข้าใจ ของของข้าจะเป็นท่านที่อนุญาตได้อย่างไรเจ้าคะ”
ดวงตาสีดำจ้องมองนางอย่างมาดหมาย กระทั่งเลื่อนสายตามาที่ลิ้นสีแดงระเรื่อที่แสนยั่วเย้า
หลี่จิ้งครางออกมาคำหนึ่ง แล้วบดจุมพิตอันบ้าคลั่งลงมา