“พูด!!”
เพียงคำเดียวของหลี่จิ้งทำให้ร่างอ้วนของเล่าฉินถึงกับสั่นสะท้าน ในตอนนี้เขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าเพื่อร้องขอความเป็นธรรมให้กับตนเองอีกต่อไป
ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเป่ยฟางหรงเป็นฮูหยินลับของท่านเจ้าสำนักเขาก็ยังกล้าเรื่องนี้จะโทษผู้ใดได้ เขาปาดน้ำตาร่างกายบัดนี้ก็ปวดแสบเกินจะทานทนหากหลี่จิ้งไม่หยุดเล่าฉินรู้สึกว่าตนเองต้องร่างกายขาดออกเป็นเสี่ยง ๆ แน่ๆ
“ข้าพูดแล้ว เพราะปีศาจมันจับอนุของข้าไปแล้วให้ข้านำท่านเซียนไปแลก อนุของข้าผู้นี้บอบบางอ่อนแอแม้แต่จะบี้มดสักตัวยังไม่มีแรง ข้าถนอมนางมากจึง จึงได้ทำเรื่องนี้ไป”
หลี่จิ้งจ้องเขาดวงตาคล้ายจะมีเพลิงเผาผลาญ
“คนของข้าเจ้ากล้าหรือ”
“หลี่เซียนซือ ข้าขอร้องท่านแล้วอย่างไรเสียข้าก็ไม่ได้ทำอันตรายนางเพียงแต่วางยานอนหลับเท่านั้นเอง อีกอย่างนางเก่งกาจเพียงนั้นและท่าทางของปีศาจก็ดูจะอ่อนน้อมกับนางอยู่ไม่น้อย หากไม่ใช่เพราะนางเป็นพวกเดียวกับปีศาจพวกนั้นเหตุใดมันจึงทำกิริยาเช่นนั้นกันเล่า”
“ศิษย์พี่ท่านฟังท่านเจ้าเมืองก่อนที่เขาพูดมาก็มีเหตุผลอยู่มาก อีกทั้งข้ายังเห็นว่านางเป็นคนมาช่วยปีศาจตนนั้นหากนางไม่ใช่ปีศาจเหตุใดต้องทำเรื่องเช่นนี้กันเจ้าคะ”
หลี่จิ้งมองศิษย์น้องของตนเอง ดวงตาของแข็งกร้าวแดงก่ำนั่นทำให้หลิงเสียนถึงกับหน้าซีด แต่กระนั้นนางก็คิดว่าต้องทำให้ศิษย์พี่ตาสว่างให้ได้
“ศิษย์พี่ท่านไม่เชื่อข้าหรือ ท่านก็รู้ว่าข้าไม่เคยโกหก”
“ท่านเซียนเห็นหรือไม่ เซียนซือผู้งดงามผู้นี้ยังเห็นนางอีก ข้าหาได้โกหกท่าน ข้าหาได้โกหก ไม่แน่นางอาจเป็นหัวหน้าปีศาจที่แท้จริงก็เป็นได้”
“เหลวไหล!!”
หลี่จิ้งกัดฟันข่มโทสะ
“คนของข้าเจ้ากล้าตัดสินตั้งแต่เมื่อใด กระทำความผิดเช่นนี้แล้วยังกล้าแก้ต่าง ดี เจ้าเห็นข้าเป็นเพื่อนเล่นหรืออย่างไร ดี ดีมาก”
“อ๊ากกกกกกกกกก มะ มือ มือข้า”
ด้วยความตกใจของศิษย์และคนในจวนที่เข้ามารุมล้อมดูเหตุการณ์ในครานี้มือของเล่าฉินก็ถูกเชือกอัคคีตัดขาดทั้งสองข้างแล้ว
ในยามนี้นอกจากเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของเล่าฉินแล้วจึงไร้ซึ่งเสียงอันใด หลี่เซียนซือผู้สูงส่ง ยึดถือหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ มีจิตเมตตาต่อสัตว์โลกประดุจพระโพธิสัตว์น้อย เหตุใดจึงตัดมือคนผู้หนึ่งโดยไม่ลังเลด้วยใบหน้าที่เย็นชาราวกับน้ำแข็ง
โหดร้ายเกินไปแล้ว
“เจ้านำนางไปที่ใด”
ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า หลี่จิ้งก็หาได้สนใจไม่ สำหรับเขาแล้วผู้ที่กล้าแตะต้องเป่ยฟางหรง แม้จะเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ในยามนี้เขาก็ไม่ไว้หน้าเป็นแน่
นั่นเพราะ….นางคือ….ศิษย์ของเขา
เล่าฉินลนลานตอบร่างทั้งร่างสั่นระริกด้วยเชือกที่รัดรอบร่างกายกำลังรัดแน่นและบาดลึกลงไปในผิวหนังของเขาทีละนิด ๆ ทีละนิด
“ท่านได้โปรดปล่อยข้าเถิด ข้าบอกท่านข้าพานางไปยังทิศตะวันตกที่นั่นข้าเห็นว่าพวกเขาเข้าไปในต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มีต้นไม้ใหญ่มากต้นหนึ่งตรงนั้นเหมือนมีโพรงแต่เมื่อข้าหันไปอีกคราโพรงก็หายไปแล้ว”
หลี่จิ้งดวงตาแดงฉาน อาภรณ์สีแดงเพลิงของเขาสะบัดพลิ้วไปตามลมที่พัดมาอย่างแรง
“หากเจ้าหลอกข้าล่ะก็คงรู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น”
“ข้าไม่หลอก หลี่เซียนซือผู้มีเมตตาได้โปรดปล่อยข้าเถิด ปล่อยข้าเถิด ได้โปรด”
หลีจิ้งยกมุมปากคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เขาเอียงศีรษะมองไปยังร่างของเล่าฉินแล้วเอ่ยว่า
“ละเว้นโทษตายให้เจ้า แต่ความผิดหาได้ลดลงไม่ เจ้ากล้าแตะต้องคนของข้า ดังนั้นข้าหลี่จิ้ง จะทำให้เจ้า อยู่ไม่สู้ตาย!!!”
หลังกล่าวด้วยเสียงเย็นยะเยือก หลี่จิ้งก็หายวับไปทันใด หลิงเสียนเอ่ยขึ้น
“พวกเจ้ารอศิษย์พี่จิ้งหูของพวกเจ้าอยู่ที่นี่และฟังคำสั่งเขาให้ดี ไม่ต้องตามมา”
กล่าวกับศิษย์ของสำนักจบนางพลันรีบตามหลี่จิ้งไปด้วยความห่วงใย ทั้งหวังจะกระชากหน้ากากปีศาจของเป่ยฟางหรงต่อหน้าหลี่จิ้งให้จงได้