“ฝ่าบาทน้อยได้โปรดไตร่ตรอง” หยีจวนผู้ติดตามมาติด ๆ และได้ขวางนางเอาไว้เมื่อมาถึงหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งไกลจากแดนเหมันต์หลายหมื่นลี้
“เจ้ากลัวอันใด หากกลัวก็รอข้าอยู่ที่นี่ข้าคือผู้ใดกันที่จะถูกตาเฒ่าเง็กเซียนนั่นจูงจมูกได้ง่าย ๆ เขาบอกว่าข้าต้องไปบำเพ็ญเพียรข้าก็ต้องไปงั้นหรือ”
“ฝ่าบาทแต่นั่นคือองค์เง็กเซียนผู้ปกครองสามภพนะขอรับ” เขาขลาดเขลาเกินกว่าจะไปต่อกรกับคนบนสวรรค์ได้ อย่าว่าแต่เง็กเซียนเลยแม้แต่เทพองค์เล็ก ๆ เขาก็หวาดกลัว
“สามภพแล้วอย่างไรเขาหาได้ปกครองดินแดนเหมันต์เสียหน่อย แดนเหมันต์เราเป็นแดนขึ้นของเผ่าสวรรค์ตั้งแต่เมื่อใดกัน อยากจะใช้อำนาจกับคนของตนก็ใช้ไปเหตุใดต้องมาวุ่นวายกับเผ่าอื่นด้วย ข้าจะต้องสั่งสอนเขาเสียหน่อย”
“แต่ท่านรู้หรือว่าแดนสวรรค์ไปทางใด”
เป่ยฟางหรงส่ายหน้าตั้งแต่เกิดมานางไม่เคยออกจากแดนเหมันต์แม้แต่ครั้งเดียวจะไปรู้ได้อย่างไร
“เรื่องนี้ใช่หน้าที่ของข้าหรือ เรื่องนำทางย่อมต้องเป็นหน้าที่ของเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้าติดตามข้ามาข้าจึงได้ไม่เร่งฝีเท้า หาไม่เจ้าจะตามข้าทันหรือเอาล่ะนับจากนี้ไปข้าก็ไปแดนสวรรค์ไม่ถูกแล้วต้องเป็นเจ้าที่นำทาง”
“ฝ่าบาทข้าถือกำเนิดจากน้ำแข็งในแดนเหมันต์นะขอรับไม่ได้แตกต่างจากท่านเลยจะไปรู้ได้อย่างไรว่าสวรรค์ไปทางใด” หยีจวนเกาศีรษะ นอกจากไม่สามารถห้ามนางได้แล้วเขายังกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับนางอีก
“เช่นนั้นเจ้าจับตัวเทพสักองค์มาถามสิง่ายจะตาย”
นางเสนอแล้วนั่งลงบนเกล็ดน้ำแข็งที่นางสร้างขึ้นมาแทนเก้าอี้ในมือยังมีอาภรณ์ของเทพอัคคีอยู่ เป่ยฟางหรงคิดบางสิ่งได้ นางเปลี่ยนอาภรณ์เป็นอาภรณ์ของเขาทันใด
“เจ้าว่าข้าใส่แล้วเป็นเช่นใดบ้าง”
“งดงามยิ่งขอรับถึงแม้ว่าจะรุ่มร่ามไปสักเล็กน้อย”
“นี่ข้าดัดแปลงให้พอดีกับกายข้าแล้วนะ”
นางหน้างอหยีจวนเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่าเขาอาจถูกแช่แข็งได้จึงรีบยิ้ม “แต่ดูไปดูมาก็ใส่ได้พอดีเลยขอรับ ฝีมือฝ่าบาทน้อยยอดเยี่ยมมาก”
หลังได้รับคำชมที่ต้องการ สีหน้าของเป่ยฟางหรงพลันดี ตั้งใจสั่งให้หยีจวนไปหาเทพสักองค์มาถามทาง จู่ ๆ สตรีผู้หนึ่งก็โผล่ขึ้นตรงหน้า
“พวกท่านทั้งสองจะไปที่ใดหรือ”
หยีจวนขยับกายไปขวางด้านหน้าด้วยกลัวว่าฝ่าบาทน้อยของตนเองจะได้รับอันตรายทันใดชะเง้อคอมองไปยังสตรีผู้นั้นประเมินพลังของนางเห็นว่าอยู่ในฐานะเทพชั้นต่ำทั่วไปที่เพิ่งหลุดพ้นจากความเป็นเซียนกลายเป็นเทพ เป่ยฟางหรงจึงยืนขึ้นเท้าสะเอวแล้วประกาศศักดาความเป็นคนสูงศักดิ์ทันใด
“บังอาจข้าคือฝ่าบาทน้อยแห่งแดนเหมันต์คู่ควรให้เซียนเช่นเจ้ามาตั้งคำถามหรือ”
เซียนหญิงผู้นั้นถึงกับคุกเข่าลงเมื่อเห็นเป่ยฟางหรง นางสามารถสัมผัสถึงพลังอันแข็งกล้าของสตรีผู้นั้นได้อีกทั้งรักเกล้าของนางยังเป็นสัญลักษณ์หิมะแวววาวซึ่งบ่งบอกตำแหน่งของนางได้เป็นอย่างดี
“ฝ่าบาทข้าน้อยสมควรตายที่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง”
เป่ยฟางหรงพอใจ ไม่คิดว่าฐานะของนางจะทำให้คนเคารพได้เพียงนี้ก้อนน้ำแข็งที่นางนั่งลอยสูงขึ้นเล็กน้อย จะได้นับว่าอยู่คนละชั้นกับคนเซียนผู้นั้นให้สมกับตำแหน่งของตนเอง
“แล้วเจ้าเป็นผู้ใดหรือ เหตุใดมาอยู่แถวนี้”
“ทูลฝ่าบาทหม่อมฉันเป็นธิดาของเทพภูเขานามซงซานเพคะ มีหน้าที่คอยดูแลภูเขาแถบนี้”
“เช่นนั้นหรือ” เป่ยฟางหรงพยักหน้า
“ฝ่าบาทหม่อมฉันบังอาจถามพระองค์จะเสด็จที่ใดหรือ แล้วเหตุใดจึงได้สวมใส่อาภรณ์ของท่านเทพอัคคีได้”
“เจ้ารู้จักเขาหรือเทพอัคคีนั่น เหตุใดจึงรู้ว่าข้าใสอาภรณ์ของเขา”
“รู้สิเพคะ แสงสุริยันที่ส่องประกายออกมาจากอาภรณ์นี้ย่อมเป็นของเทพอัคคีเท่านั้น ฝ่าบาทคงมีตบะแก่กล้ามากจึงสามารถสวมใส่อาภรณ์นี้ได้โดยไม่ถูกเผาร่างจนกลายเป็นจุณ”
เป่ยฟางหรงมองเสื้อผ้าของตนเองที่ส่องประกายระยิบระยับอบอุ่นประดุจแสงอาทิตย์เรืองรองอยู่รอบกาย และนางรู้ว่าแสงนี้จะค่อย ๆ หายไปภายในร้อยปีจนกลายเป็นอาภรณ์ธรรมดาไร้ค่าตัวหนึ่ง
แต่ไม่คิดว่ามันจะฤทธิ์พอจะเผาไหม้ผู้ใดได้ในเมื่อแสงของมันทั้งงดงามเจิดจ้าและอบอุ่นเช่นนี้ นางผู้นี้คงใส่สีตีไข่ถึงความล้ำเลิศของเทพอัคคีจนเกินไป