เมื่อตอนที่เป่ยฟางหรงรู้สึกตัวนั้นนางพบว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง กลิ่นอับชื้นลอยอบอวลอยู่ที่ปลายจมูก บรรยากาศรอบกายเย็นเยียบ นางขยับร่างเล็กน้อยพลันรู้สึกเจ็บชาที่หน้าขา เมื่อรู้สึกตัวเสียงของคนผู้หนึ่งกึกก้องในโสตประสาททันใด
“หรงหรงเจ้าอยู่ที่ใด ได้ยินอาจารย์หรือไม่ หรงหรง หรงหรง ตอบข้า เจ้าอยู่ที่ใดกันแน่”
เป่ยฟางหรงได้ยินเสียงของอาจารย์ชัดเจน เพียงแต่ว่านางไม่สามารถตอบเขาได้ว่าตนเองบัดนี้อยู่ที่ใดกันแน่ กระทั่งพลังที่จะส่งเสียงตอบกลับก็หามีไม่ นางเจ็บจนกระอักเลือดออกมา ภายในปั่นป่วนรุนแรงคล้ายมีพลังสองสายวิ่งพล่านไปทั่วกาย
“เกิดอะไรขึ้นกับข้า”
ดวงตาของนางพร่าเลือนยิ่ง รู้เพียงว่าด้านนอกนั้นเต็มไปด้วยหมอกควันลอยกระจาย ทั้งยังมองเห็นเพียงแค่เลือนรางเท่านั้น
เมื่อไม่อาจใช้วิชาโต้ตอบกับอาจารย์ได้นางจึงพยายามยันกายลุกขึ้น เป่ยฟางหรงหลับตาชั่วครู่ นางนั่งขัดสมาธิปรับพลังที่แปรปรวนรุนแรงภายในร่างกายของตนเองชั่วครู่ กระทั่งพบบางสิ่งที่ผิดปกตินางสัมผัสได้ถึงพลังที่นางไม่เคยได้ร่ำเรียนมา
มีพลังเยือกแข็งสายหนึ่งพุ่งเข้ามาด้านใน ขัดแย้งกับพลังแห่งไฟซึ่งเป็นพลังทิพย์ที่นางฝึกฝนมาแต่เยาว์วัย เป่ยฟางหรงรู้สึกแปลกใจระคนตื่นเต้นยิ่งที่พบว่าพลังสองสายนี้หมุนวนเป็นคลื่นอันสงบ หยอกล้อเล่นอยู่ภายในคล้ายกับเกลียวคลื่นที่กำลังกระทบกับผืนทรายอันอ่อนโยน
นางสูดหายใจเข้าลึก รวบรวมพลังทิพย์กระทั่งสามารถปรับพลังในร่างจนรู้สึกสบายขึ้นแล้ว เป่ยฟางหรงจึงลืมตาคราวนี้สายตาของนางเป็นปกติแล้ว เห็นคนผู้หนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าร่างกายของเขายังชุ่มไปด้วยเลือด
“หยีจวนเป็นเจ้าหรือ”
หยีจวนยิ้มกว้างด้วยความยินดี
“ฝ่าบาทน้อยทรงเจ็บที่ใดหรือไม่”
“ข้าไม่เป็นอันใดกลับรู้สึกว่าร่างกายเบาสบายยิ่ง เหมือนจะเก่งกว่าเดิมอยู่มาก”
กล่าวจบนางก็มองไปรอบกายด้วยความงวยงง หมอกที่นางเห็นยังคงอยู่แต่เบาบางไปมากแล้วเห็นร่างของปีศาจน้อยใหญ่กองอยู่กับพื้น บ้างก็ร่างขาดกระเด็น บ้างก็ร้องทุรนทุราย มีเพียงบริเวณที่นางนั่งอยู่ตรงนี้กับหยีจวนที่ไม่มีปีศาจล่วงล้ำเข้ามาเหมือนเป็นข่ายอาคมเล็ก ๆ ที่ปกป้องพวกเขาอยู่
“เกิดเรื่องอันใดหรือ ข้าจำได้ว่าข้ากำลังกินขนมอยู่ที่จวนท่านเจ้าเมืองแล้วเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ แล้วพวกปีศาจพวกนั้นเหตุใดจึงนอนตายเกลื่อนเช่นนี้”
“ฝ่าบาทพวกมันคิดลักพาตัวพระองค์ ข้าติดตามมาเลยลงมือสังหารพวกมันขอรับ”
“เจ้าหรือ?”
“ขอรับ”
“เราอยู่ที่ใดกัน”
“ไม่รู้ขอรับ ข้าตามท่านมาคิดช่วยท่านจึงถูกดูดเข้ามาในนี้ด้วย หลังสังหารปีศาจจนหมดก็หาทางออกไปไม่ได้แล้ว”
“แย่แล้วทำเช่นไรดี เจ้ายังได้รับบาดเจ็บหรือเลือดท่วมกายเช่นนี้”
“เป็นเลือดปีศาจขอรับ ข้าไม่เป็นไร”
เป่ยฟางหรงมองหยีจวนที่มีเลือดของปีศาจเปรอะอยู่เต็มร่างกายก็พลันห่วงใย ทันใดนั้นเสียงของหลี่จิ้งก็ใกล้เข้ามาทุกที เป่ยฟางหรงจึงลองใช้วิชาโสตร้อยลี้ของนางตอบกลับ
“อาจารย์ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ แต่ไม่รู้อยู่ที่ใด หยีจวนมาช่วยข้าเจ้าค่ะ ข้าอยู่กับเขา เขาฆ่าปีศาจตายหมดแล้ว”
เสียงของอาจารย์พลันขาดหายไป นางจึงร้อนใจยิ่ง
“อาจารย์ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ ข้าไม่รู้อยู่ที่ใดท่านตามข้ามาตามเสียงได้หรือไม่ ได้ยินข้าหรือไม่”
ชั่วครู่เสียงอันราบเรียบของหลี่จิ้งจึงดังขึ้น
“ได้รับบาดเจ็บหรือไม่”
“เล็กน้อยเจ้าค่ะ”
“เจ็บที่ใด”
“ขาเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นอย่าขยับ อาจารย์กำลังไปหาเจ้า”
เป่ยฟางหรงตั้งจิตเพื่อให้อาจารย์สามารถตามหาจุดที่นางอยู่ได้ นางมองที่ขาตนเองพลันพบว่าบริเวณรอบขานั้นได้กลายเป็นน้ำแข็งไปแล้ว และอาการหนาวสั่นของนางกำลังกำเริบ
เมื่อสักครู่ตอนที่นางจัดระเบียบลมปราณก็รู้สึกว่าร่างกายเบาสบายแล้ว เหตุใดจึงได้มีอาการเช่นนี้อีก เป่ยฟางหรงเริ่มตัวสั่น ขาของนางในตอนนี้รู้สึกเย็นยะเยือกเจ็บชาคล้ายมันจะกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดขาของข้าจึงเป็นเช่นนี้”