จะว่าไปแล้วสำนักเซียนใหญ่ล้วนมีอาณาเขตในการดูแลกำราบปีศาจเป็นของตน อีกทั้งยังรับคำสั่งโดยตรงจากราชสำนัก ในแต่ละปีจึงได้รับเงินปูนบำเหน็จที่วังหลวงส่งมาเป็นจำนวนมาก พวกเขาล้วนมีผู้บำเพ็ญเพียรที่เก่งกาจเป็นศิษย์อีกทั้งแต่ละปียังมีคนจำนวนมากคิดจะมาฝากตัวทั้งเพื่อหวังชื่อเสียงและชีวิตที่หลุดพ้นจากความยากลำบาก
สำนักเซียนสี่สำนักใหญ่มีสำนักหอเกล็ดทองซึ่งเป็นสำนักเก่าแก่และมีศิษย์เก่งกาจที่สุดเป็นผู้นำ อีกทั้งทั้งสี่สำนักนี้ยังมีลูกศิษย์ลูกหาแตกตัวออกไปตั้งสำนักเป็นของตนเองและกลายเป็นบริวารของสำนักเซียนแห่งนี้นับรวม ๆ กันแล้วก็เกือบร้อยสำนักเห็นจะได้
แผ่นดินกว้างใหญ่ปีศาจมากมายถึงสำนักเซียนจะมีมากกระนั้นก็ยังมีปีศาจน้อยใหญ่ที่ทำร้ายชาวบ้านอยู่ทุกวันด้วยเหตุนี้จึงทำให้สำนักเซียนทั้งหลายต่างได้รับยกย่องจากคนทั่วไปราวกับพวกเขาเป็นเทพเซียนบนสวรรค์
เมื่อสำนักเซียนได้รับความนิยมผู้ฝึกวิชาเซียนก็มีมาก และการจะขึ้นสู่ตบะเซียนขั้นสูงหากไม่มีพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดแล้วย่อมต้องใช้เวลาหลายปีในการฝึกบำเพ็ญตน อีกทั้งหากไม่แข็งแกร่งพอก็มีโอกาสถูกปีศาจสังหารตายเสียก่อน
ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากแอบฝึกมนต์ดำเพื่อเป็นทางลัดในการก้าวไปถึงขั้นผู้ฝึกที่เก่งกาจ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลายคนไม่สามารถควบคุมมนต์ดำได้ กลายเป็นปีศาจในร่างของผู้ฝึกเซียนซึ่งมีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
ชื่อเสียงการใช้พลังเวทย์ของเป่ยฟางหรงมีผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ซึ้ง หลายปีมานี้นอกจากออกกำราบปีศาจในเขตแดนของสำนักซินเซวียนแล้ว นางยังได้ร่วมกับสำนักอื่นกำราบปีศาจไปไม่น้อย
สตรีผู้หนึ่งที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีดีด้วยซ้ำ แต่กลับเก่งกล้าสามารถใช้อาคมถึงขั้นปรมาจารย์หากพิจารณากันโดยไร้อคติต่างชื่นชมในพรสวรรค์นี้ แต่หากพิจารณาด้วยความริษยาและเกลียดชัง ก็คงคิดว่าเป่ยฟางหรงศิษย์รักของหลี่จิ้งผู้นี้แอบฝึกมนต์ดำเข้าสู่วิถีมารเป็นแน่
ยิ่งมีหลายคนเห็นท่าทางของปีศาจที่คล้ายคลึงนางพร้อม ๆ กันออกเข่นฆ่าผู้คนพร้อมปีศาจที่ออกอาละวาด ทุกคนจึงได้ตัดสินใจโดยไม่ไตร่ตรองแล้วว่าเป่ยฟางหรงคือผู้ฝึกมนต์ดำจนไม่อาจควบคุมตนเองได้แล้ว
หลี่จิ้งนั่งอยู่ท่ามกลางเจ้าสำนักเซียนทั้งสี่ถูกกดดันให้พาเป่ยฟางหรงมาพิสูจน์ความจริง
“นางเป็นศิษย์ของข้า ข้าย่อมรู้ดีว่านางเป็นเช่นไร นางจะถูกมนต์ดำควบคุมหรือไม่ก็เป็นเรื่องภายในสำนักของข้าที่ต้องจัดการ คงไม่รบกวนพวกท่านจะยื่นมือเข้ามาสอดกระมัง”
วาจาของเขายอมหักไม่ยอมงอ ที่ผ่านมาหลี่จิ้งก็เป็นคนเช่นนี้และด้วยวรยุทธ์และพลังทิพย์อันเก่งกาจของเขาจึงทำให้ไม่มีผู้ใดที่จะกล้าเข้ามาวุ่นวาย แต่ครานี้กองทัพปีศาจโจมตีทุกสำนักพร้อม ๆ กัน อีกทั้งยังมีหลายคนเห็นกับตาว่าผู้บัญชาการกองทัพนั้นคล้ายคลึงกับเป่ยฟางหรงเป็นอย่างยิ่ง สตรีผู้นี้มีใบหน้าที่งดงามเพียงเห็นครั้งเดียวก็ตราตรึงใจผู้คน ใครกันเล่าจะลืมเลือนได้ง่าย
“ท่านจะกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ได้ ปีศาจตนนี้นำความเดือดร้อนไปทั่วแผ่นดินทุกอาณาเขตควบคุมของสำนักเซียนถูกนางนำทัพบดขยี้จนแทบเอาตัวไม่รอด สูญเสียกำลังคนจนถึงแก่ความตายไม่น้อย เพียงท่านส่งนางมาเพื่อพิสูจน์ความจริงว่าเป็นเช่นใดกันแน่เหตุใดจึงได้ขัดขวางเล่า”
หลี่จิ้งยืนขึ้นเขาเพียงแต่เอ่ยอย่างเย็นชา
“ศิษย์ของข้าเป็นสิ่งของที่พวกท่านอยากจะขอดูเมื่อใดก็ได้เช่นนั้นหรือ ไม่คิดหรือว่าพวกท่านอาจจะถูกปีศาจปั่นหัวเพื่อให้มุ่งหน้ามาเล่นงานคนของข้า ผู้ใดกันจะไปโผล่ได้ทุกที่ในเวลาเดียวกันได้เช่นนั้น เห็นนางแยกร่างได้หรืออย่างไร พวกท่านแต่ละคนพลังทิพย์ล้วนสูงส่งถูกปีศาจล่อลวงด้วยกลชั้นต่ำเช่นนี้ได้จะไม่น่าขันไปหน่อยหรือ แทนที่พวกท่านจะวิ่งมาหาข้าที่นี่ กลับไปดูแลสำนักเซียนของตนเองให้ดีป้องกันปีศาจโจมตีจะเห็นเป็นประโยชน์กว่า”
เจ้าสำนักทั้งสี่ต่างคนต่างมีสีหน้าที่ทั้งซีดทั้งเขียว วาจาของหลี่จิ้งตรงไปตรงมาไม่สนใจผู้ใดยังยโสโอหังยิ่ง เห็นได้ชัดว่าที่พวกเขาลำบากมาถึงที่นี่หลี่จิ้งไม่เห็นความสำคัญเลยแม้แต่น้อย
เจ้าสำนักใหญ่ทั้งสี่ต่างมองหน้ากัน อันที่จริงเรื่องนี้พวกเขาไม่ใช่ไม่คิดแต่มีเจ้าสำนักเซียนหลายคนได้ประมือกับเป่ยฟางหรง ปรึกษาหารือกันอยู่หลายชั่วยามก็เห็นว่าเรื่องนี้ไม่อาจปล่อยผ่านจึงได้มุ่งตรงมาที่นี่เพื่อพิสูจน์ความจริง
“ยิ่งเป็นเช่นนั้นท่านยิ่งควรนำนางมาให้พวกเราไต่สวน หากในเวลานั้นสามารถบอกตำแหน่งของนางได้มีพยานหลักฐานเราย่อมไม่เอาความแล้ว”