หลี่จิ้งสั่งให้จิ้งหูมาพบกลางดึก
“อาจารย์เรียกศิษย์มามีสิ่งใดจะสั่งสอนหรือขอรับ”
“ข้าจะพาเป่ยฟางหรงกลับหุบเขาซินเซวียนในคืนนี้ เรื่องทางนี้เจ้าจัดการให้เรียบร้อยหลังจากนั้นให้นำศิษย์ทั้งหมดกลับสำนัก ฝากความเจ้าไปบอกถงถงว่าให้ตามข้ากลับสำนักพร้อมกับหยีจวนภูตของเป่ยฟางหรงผู้นั้น กำชับให้เขาจับตาดูหยีจวนให้ดี อย่าให้คลาดสายตาเป็นอันขาดมีสิ่งใดไม่ชอบมาพากลให้รีบมารายงาน”
“ขอรับ”
จิ้งหูมองไปยังประตูเรือนของเป่ยฟางหรง หลี่จิ้งจึงเอ่ยว่า
“มีคำถามอีกหรือ?”
จิ้งหูจึงถามว่า
“ศิษย์น้องเป็นเช่นไรบ้างขอรับ นางเพิ่งได้รับบาดเจ็บเหตุใดอาจารย์จึงเร่งรุดจะกลับสำนักกลางดึกเช่นนี้”
หลี่จิ้งตอบด้วยใบหน้าราบเรียบ ไม่ต้องการให้จิ้งหูเป็นกังวล
“จู่ ๆ ก็มีคนวิ่งมาหาเรื่องถึงที่นี่เกรงว่าหากช้ากว่านี้คงหาหนทางหลีกหนีลำบากแล้ว”
“ขอรับ”
แม้ว่าจิ้งหูจะไม่เข้าใจนักแต่เขาก็รู้ดีว่าทุกการตัดสินใจของอาจารย์ย่อมไตร่ตรองถี่ถ้วนแล้ว
“อาจารย์ศิษย์จะพบศิษย์น้องได้หรือไม่ขอรับ นางดื้อรั้นกับอาจารย์หรือไม่ขอรับ บางทีให้ข้าช่วยพูดนางอาจจะอ่อนลงบ้าง”
หลี่จิ้งส่ายหน้า
“เอาไว้กลับสำนักแล้วค่อยมาพบนางเถิด นางก็คือนางแม้จะดื้อรั้นบ้างแต่ก็ยังฟังอาจารย์อยู่บ้าง เจ้าไม่ต้องห่วงอาจารย์ดูแลนางได้ไม่ต้องให้ถึงมือของเจ้าหรอก”
จิ้งหูถูกหลี่จิ้งหยอกเย้าพลันใบหน้าแดงเล็กน้อย
“ศิษย์ไม่ได้หมายความเช่นนั้นขอรับ เพียงแต่ไม่อยากให้อาจารย์ลำบากใจกับความดื้อรั้นของนาง”
“อาจารย์เข้าใจเจตนาของเจ้าดี วางใจได้นางดูสงบลงอยู่มากจนน่าประหลาดใจ”
“ศิษย์ได้ยินมาว่าเจ้าสำนักเซียนทั้งสี่กล่าวหาว่าหรงหรงเป็นปีศาจ”
หลี่จิ้งไม่ปิดบัง
“เป็นเช่นนั้นจริง แต่พวกเขาไม่มีหลักฐานเพราะเหตุนี้อาจารย์จึงอยากจะพานางกลับไปรักษาตัวให้หายก่อนเรื่องอื่นค่อยจัดการทีหลัง ส่วนเจ้าอยู่ที่นี่จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วรีบพาศิษย์ที่เหลือกลับสำนัก”
“ขอรับ”
เป่ยฟางหรงได้ยินที่ศิษย์อาจารย์สนทนากันอย่างชัดเจน หากเป็นในยามปกตินางต้องโผล่ศีรษะสอดปากไปพูดคุยกับพวกเขาแล้ว แต่เป่ยฟางหรงในยามนี้กลับดูสงบเงียบจนผิดปกติ
หลี่จิ้งเปิดประตูเข้ามาแล้วปิดลงอย่างเงียบเชียบ เขาเดินตรงมาหานางพลางเอ่ยปาก
“ได้ยินทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ เหตุใดต้องรีบร้อนเพียงนี้เจ้าคะ”
“เจ้าไปก่อเรื่องมาหรือไม่? ต้องถามตัวเจ้าเองแล้วเหตุใดคนพวกนั้นจึงแห่กันมานี่หากช้าไปกว่านี้เห็นทีว่าสำนักเซียนนับร้อยคงร่วมแรงร่วมใจกันมาบุกจวนแห่งนี้เป็นแน่”
หลี่จิ้งเอ่ยคล้ายพูดเรื่อยเปื่อย ไม่จงใจคาดคั้นเอาคำตอบจากนางเป่ยฟางหรงจึงนิ่งเงียบ
“ยื่นขามาอาจารย์ขอดูขาของเจ้าก่อน”
เป่ยฟางหรงยื่นขาออกมาจากผ้าห่ม หลี่จิ้งดึงขาของนางมาพาดไว้ที่หน้าตักตนเอง พบว่าขานางถูกพันด้วยผ้าสีขาวเขาจึงคลายออก
ปราณมารไหลออกมาจากบาดแผลเป็นสาย ตรงจุดนั้นไร้รอยเลือดกลับกลายเป็นน้ำแข็งที่เพียงหลี่จิ้งสัมผัสก็ละลายกลายเป็นน้ำไหลออกมาเปียกผ้าพันแผลนั้น
เป่ยฟางหรงก้มหน้าไม่สบตาเขา จนแล้วจนรอดนางก็ไม่เอ่ยคำใดออกมา หลี่จิ้งถอนหายใจส่งพลังทิพย์ยับยั้งปราณมารไม่ให้กระจายเรียกแขกอย่างเจ้าสำนักเซียนทั้งสี่ให้มาตอแย
เขาถ่ายพลังจนกระทั่งคิดว่าเพียงพอแล้ว ดูเหมือนว่าบาดแผลน้ำแข็งนั้นจะเล็กลงเล็กน้อยและปราณมารไม่ไหลพร่ำเพรื่ออีก หลี่จิ้งจึงพันขาของนางอีกครั้ง
“ไปกันเถิด”
เขาลุกขึ้นยื่นมือไปเบื้องหน้า
เป่ยฟางหรงมองมือนั้นอย่างพิจารณา ดูไม่ออกว่าหลี่จิ้งรู้สิ่งใดบ้างหากรู้แล้วเหตุใดยังดีกับนางเช่นนี้ หรือเขาจะยังไม่รู้สิ่งใด คนผู้นี้ยากที่จะประเมินเป็นอย่างยิ่ง และเหตุใดเมื่อมองใบหน้างดงามเยือกเย็นของเขานางพลันรู้สึกไม่สบายใจในสิ่งที่คิดจะกระทำ