ซื่อหยาเหยาแต่ไหนแต่ไรพื้นฐานจิตใจนางเป็นสตรีที่นิ่งเงียบไม่ชั่งพูด หากไม่เหนือความอดกลั้นนางเกินไปนัก นางก็จะเลือกที่จะนิ่งเฉย ซื่อหยาเหยานางได้เลือดมารดามาเต็มเปี่ยม
ยามดีก็ดีแสนดียามร้ายนางก็ร้ายเสียยิ่งกว่าอะไร ชั่วชีวิตของนางไม่เคยหลอกลวงผู้ใด รักก็คือรัก เกลียดก็คือเกลียด นางล้วนแยกแยะ
บุรุษในโลกมีสองผู้ที่นางเชื่อมั่นว่ามิมีทางทรยศต่อนาง…. หนึ่งคือบิดา สองคือบุรุษที่นางเอ่ยปากเรียกว่าเกอเกอมาแต่จำความได้
มาวันนี้ยามเขาเอ่ยกับนางท่าที่สง่า ผาเผยกลับแปรเปลี่ยนไป เขามีสิ่งใดปิดบังอยู่กันนี้ ข้อนี้เผิงอวิ๋นย่อมรู้แก่ใจดี วันนี้เขาเลือกที่จะปิดบังนาในวันนี้ฐานะใช่พี่ชายดังวันวาน เพียงนั้นนางก็เสียน้ำใจไปไม่น้อยแล้ว วันนี้สถานะแปรเปลี่ยนเขาคือว่าที่สามีของนาง ยังไม่ทันเข้าพิธีความซื่อสัตย์ก็หาได้มีครบถ้วน นางสู้ตัดเกศาออกบวชเป็นชีดีกว่าแต่ง!!
เช้าวันต่อมา
โถงกว้างของเรือนกลาง
ยามนี้ซื่อหยาเหยานางที่เดินทางมาถึงเรือนกลางเป็นผู้แรก นางกระทำตนปกติเสียทุกอย่าง ใบหน้ายิ้มแย้ม ในตอนนั้นบิดาของนางก็ได้มาถึง และอีกไม่นานก็เป็นเผิงอวิ๋นที่เข้ามาพร้อมกับสตรีนางนั้น? อิ๋งเหอ
“ท่านลุง…. เหยาเหยา” เผิงอวิ๋นเอ่ยขึ้นก่อน
“นี้คือสตรีน้อยที่เจ้าว่า?” บิดาของหยาเหยาเอ่ยขึ้น
“ขอรับท่านลุง นี่คืออิ๋งเหอ บุตรของผู้มีคุณของหลาน”
“อิ๋งเหอ คำนับท่านลุง คำนับพี่สาว” อิ๋งเหอเอ่ยออกมาอย่างสนิทสนม
นางไปเป็นพี่สาวนางตอนไหนกัน ช่างกล้าเอ่ยออกมาได้ มิรู้ว่าแท้จริงนางกล้าเพียงนี้หรือเพราะเผิงอวิ๋นเป็นผู้สั่งสอนนางมากันแน่
“อ่ะ นั่งๆ เจ้ามานั่ง กินข้าวด้วยกัน” บิดาของหยาเหยาเห็นสถานการณ์ไม่ดีนักจึงเอ่ยปาก
“อิ๋งเหอ ขอบคุณท่านลุง”
จากนั้นนางและเผิงอวิ๋นก็ได้ไปนั่ง ยามนี้กลายเป็นหยาเหยาที่นั่งตรงข้ามกับเผิงอวิ๋นและอิ๋งเหอแทน
สาวใช้ก็ได้เริ่มนำอาหารออกมาจัดวางทีละอย่างๆ สถานการณ์ผ่านไปด้วยความอึดอัดที่ประหลาด หยาเหยานางไม่เอ่ยแม้นสักคำเพียงแต่ยิ้มอ่อนๆ ไว้เท่านั้น
ในมือนางก็ยังคงถือจอกชาเปล่าๆ ไว้ในมือ
“เหยาเหยา…. กุ้งผัดที่เจ้าชอบ ใยไม่กินเสียหน่อย?” บิดานางเอ่ยขึ้น
“อ้อ พี่สาวท่านก็ชอบกินกุ้งผัดเหมือนกับข้า ข้าก็ชอบ” อิ๋งเหอยิ้ม นางเผยยิ้มออกมา
ในตอนนั้นเป็นชิงชิงที่รู้สึกโกรธแทนนายหญิงของนางเสียจริงๆ จู่มาเอ่ยประโยคเช่นนี้ ต้องการสื่อความหมายใด ย่อมรู้แก่ใจ
“อิ๋งเหอ” เผิงอวิ๋นร้องเตือน
“อิ๋งเหอ หากเจ้าชอบก็กินเสียให้หมด ตัวเจ้าเมื่อคืนได้ยินมาว่าเป็นลม ก็ควรบำรุงให้มากหน่อย”
“จะกินหมดได้อย่างไร กุ้งผัดนี้ตัวท่านพี่สาวก็ชอบกินเช่นกัน น้องทำเช่นนั้นคงไม่เหมาะ”
“แม้นว่าเป็นของที่ข้าชอบ หากเป็นตัวข้าได้เอ่ยปากยกให้แล้วก็ไม่เคยคืนคำ เก็บมาใส่ใจ มันก็แค่กุ้งผัด” หยาเหยานางยิ้มออกมาอย่างอบอุ่นใจเช่นกัน นี้อิ๋งเหอนางไม่รู้หรือแสร้งไม่รู้ว่าเผิงอวิ๋นกับนางสถานะคืออะไร ที่นางทำเหมาะสม? สมควรแล้วหรือไม่
ในตอนนั้นที่สถานการณ์ดูจะไปกันใหญ่ ผิดคาดอิ๋งเหอนางคิดว่าซื่อหยาเหยานางนี้จะเป็นสตรีที่แสร้งดีแสร้งใจกว้างต่อหน้าบุรุษนางกลับเอ่ยคำเช่นนี้ออกมาได้ ไม่รู้ผลจะดีจะร้ายกับนางกันแน่
ที่นางทราบ อิ๋งเหอนางทราบจากสหายของเผิงอวิ๋นว่า เผิงอวิ๋นเขามีสตรีในดวงใจแล้ว เป็นญาติผู้น้องบุญธรรม ที่นางคิดไว้ไม่ผิดเป็นซื่อหยาเหยาผู้นี้ แต่ที่นางไม่รู้คือ เขาทั้งสองได้รับสมรสพระราชทานกันมาแล้ว เป็นคู่หมั้นคู่หมายที่กำลังจะเข้าสู่ห้องหอในไม่ช้า
และในตอนนั้นเองที่พ่อบ้านได้เข้ามาเรียนว่า “คนจากในวังได้มาส่งของหมั้นที่จะใช้ในงานแต่งงานมาแล้ว จะให้จัดไว้ที่ใด”
ในตอนนั้นอิ๋งเหอนางแสดงท่าทีไม่เข้าใจนัก ของหมั้น? เหตุใดจึงมีของหมั้น
“อ้อ…. พ่อไปดูเอง” บิดาของหยาเหยาปลีกตัวออกไปก่อน
ในตอนนั้นอิ๋งเหอที่แสดงท่าทีไม่เข้าใจอยู่นั้นก็เอ่ยถามขึ้นมา
“เกอเกอของหมั้นนี้? ของใครกัน”
“ของคุณหนูของข้ากับคุณชายเผิง” ชิงชิงนางเอ่ยขึ้น
“ของท่านกับ….. ซื่อหยาเหยา? นี่ท่านกำลังจะแต่งงานกัน?” อิ๋งเหอ ในตอนนั้นที่นางได้ฟังก็ถึงกลับเป็นลมหน้ามืดไปอีกครา
โรคเก่าของนางที่ปัจจุบันยังคงเป็นอยู่คือเวลาตกใจมากๆ ดีใจอะไรมากๆ นางจะเป็นลมหน้ามืดลงไป บางครั้งเคยเป้นหนักถึงขั้นเกือบเอาชีวิตไม่รอดมาเสียก็หลายหน เหตุนี้จึงทำให้เผิงอวิ๋นมิกล้าเอ่ยคำที่รุนแรงต่อนางนัก อย่างไรเสียก็บุตรสาวของผู้มีคุณที่ช่วยชีวิต
“อิ๋งเหอ…..” เผิงอว่นเอ่ยเรียกสตินางแต่ก” ไม่เป็นผล
“ชิงชิง ตามหมอ” หยาเหยานางเอ่ย
ก่อนที่นางจะลุกเดินจากไป แต่ก่อนที่นางจะเดินจากไป ก็มีเสียงเรียกจากเผิงอวิ๋นดังขึ้น
“เหยาเหยา….”
หยาเหยานางหมุนกายกลับมาและเผยยิ้มพร้อมกับผายมือ คล้ายแสดงท่าทีว่าตามสบาย
“เหยาเหยา….. “เผิงอวิ่นเรียกซ้ำ
“ห่วงผู้ใดก็อยู่กับผู้นั้น” หยาเหยานางเอ่ยก่อนที่จะก้าวเท้าเดินจากไป
แทนที่นางจะกลับเรือนนางกลับเดินออกไปที่นอกจวนแทน ยามนี้นางจะไปที่ใดกัน ….. เวลาเช่นนี้ที่นางจะไปคือศาลาขาว เหลียนฮวา หลังนั้น
ชั่วยามต่อมา
ศาลาเหลียนฮวา
ยามนี้ซื่อหยาเหยายืนอยู่ที่ใจกลางของศาลานั้น ในใจของนางคล้ายจะหนักอึ้งแต่ก็กลับว่างเปล่า ความรู้สึกเช่นนี้สลับกันไปมา ดวงใจของนางสับสนเหลือเกิน ผู้ที่ฉุดรั้งนางขึ้นมาจากหุบเหวยามนี้กลับกลายเป็นผู้ที่กำลังจะต้อนนางให้กลับลงไปในเหวที่ลึกลงกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ กรรมใดที่นางทำกัน? ไม่ว่าใจรักอยู่กับผู้ใด ครองคู่ก็มิพบสุข จะครองคู่ก็มิพบสุข
และในตอนนั้นเองที่มีเสียงฝีเท้าได้ย่างก้าวเข้ามาในศาลา หยาเหยานางคิดว่าเป็นชิงชิงของนางแน่ นางจึงเอ่ยคำที่ติดค้างอยู่ในใจนางมานาน
“ชิงชิง….. เหยาเหยาชาติที่แล้วคงพรากบุรุษสตรีที่มีใจมั่นต่อกันให้จาก ชาตินี้ผลกรรมมันจึงสะท้อน ตัวข้าจึงเจ็บแล้วเจ็บเล่า หรือเป็นที่รักแท้จากบุรุษไม่มี บุรุษล้วนโลเลเชื่อไม่ได้….” หยาเหยานางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ข้าขอโทษ” เสียงนั้นกลับมิใช่เสียงของชิงชิง และมิใช่เสียงของเผิงอวิ๋น เป้นเสียงของบุรุษที่นางเคยพบเขาที่ศาลานี้เมื่อสามเดือนก่อน
“หลู่เมิ้ง…..” หยาเหยานางหันหลังมาก็พบกลับหลู่เมิ้งผู้นั้น สองเท้านางชงักลง
ดวงตาของนางที่มีน้ำใสๆ เอ่อคลออยู่เสียแต่แรก นางพยามสะกดกลั้นน้ำตาของนางให้กลับลงไป ไม่รู้ว่าที่เขามาที่นี้มาเพื่อจะสมน้ำหน้านางอีกหรือไม่? ในเมื่อเขาเกลียดนางนัก
สิ่งที่นางคิดกลับตรงกันข้าม….. เขากลับยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนสีน้ำเงิน หยาเหยานางเมื่อแรกเห็นก็จำได้ทันทีว่านี้คือผ้าเช็ดหน้าผืนที่นางเคยปักให้เขา
หลู่เมิ่งก็ยังคงยื่นค้างไว้อยู่อย่างนั้น หยาเหยานางมิเข้าใจ หลู่เมิ่งต้การสิ่งใดกัน?
“ท่านทำเช่นนี้เพื่ออะไร หรือตัวข้าดูน่าเวทนาถึงเพียงนั้น” หยาเหยานางเอ่ย
“หนึ่งปีก่อน ข้าทำเจ้าเสียน้ำตามาไม่รู้กี่หน วันนี้แม้นหยดน้ำตานี้จะเกิดจากบุรุษอื่นแล้ว เพียงให้ข้าได้ซับน้ำตาหยดนี้ของเจ้า ถือว่าแทนคำขอโทษ หนึ่งในร้อยครั้งที่ข้าทำเจ้าเสียน้ำตา เหตุผลมีเท่านี้ ฟังแล้วเจ้าจะรับน้ำใจของข้าหรือไม่?” หลู่เมิ่งเอ่ยออกมา ใบหน้าของเขาดูจริงใจที่สุด ดวงตาและท่าทีที่อบอุ่นที่หยาเหยานางมิเคยได้รับจากเขา เขากลับมอบให้นางในวันนี้ ทำไมกัน?
โปรดติดตามตอนต่อไป