บทที่สอง
หยาเหยาหัวใจเจ้าเปลี่ยนไปเเล้ว?
“ต้วนซิ่ว” คำนี้ยังคงรบกวนอารมณ์ของหลู่เมิ่งขุ่นมัวไม่หายนับตั้งแต่เช้าจรดเย็น เขาเอาแต่นั่งหน้าดำค่ำเคลียดอยู่อย่างนั้น
.
.
.
.
“ซื่อหยาเหยาทำเช่นนี้คิดหรือว่าได้ตราประตับข้าลงในหนังสือหย่าของเจ้า คิดน้อยไปแล้วกระมัง” หลู่เมิ้งยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
.
.
.
.
จวนอัครเสนาบดี สกุลซื่อ
หน้าร้อนปีนี้นับว่าร้อนอยู่มาโข ซื่อหยาเหยาเอนกายอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวในชุดสีแดงเพลิงบางเบาหากแต่ยังคงความสง่างามพิลึก นอนเอนกายอยู่ริมสระน้ำซึ่งเต็มไปด้วยดอกบัวสีแดงสดอันเป็นดอกบัวพันธ์ประหลาดที่มารดาของหยาเหยา หนิวเฟิ่งหยา ท่านหญิงมากด้วยศักดิ์ผู้งดงามเลื่องชื่อของแผ่นดิน กิริยาความรู้ถือเป็นทรัพย์ล้ำค่าหากกเเต่จากไปตั้งแต่นางอายุได้แปดขวบปี บิดานางรักมารดานางอย่างยิ่งมิแต่งภรรยาอีกคนเข้าจวน หนิวเฟิ่งหยายังคงเป็นฮูหยินจวนเสนาบดีเพียงคนเดียว หนิวเฟิ่งหยาเป็นสตรีจิตใจดีหากแต่เมื่อยามโกรธเกลียดผู้ใดก็ร้ายจนน่ากลัว หยาเหยาแม้นจะมีมารดาเลี้ยงดูได้เพียงแปดปีแต่ลักษณะนิสัยโดยรวมก็ได้จากมารดาโดยทั้งสิ้น
ชิงชิงคอยโบกพัดให้เหยาเหยาที่ซึ่งกำลังหลับตาพริ้มอย่างอารมณ์ดี
“คุณหนูงดงามมากเลยเจ้าคะ” ชิงชิงทำเสียงเล็กเสียงน้อย
“งดงามแล้วอย่างไรแกเรือนไปแล้วคุณค่าสตรีหย่าสามีก็ย่อมด้อยลงเหลือไม่ถึงครึ่ง” หยาเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ไม่มีทางเจ้าค่ะ คุณหนูของชิงชิงนับวันมีแต่จะเพิ่มพูนคุณค่าในตัวโดยทั้งสิ้น”
“หากท่านแม่ยังอยู่ไม่สิหากท่านแม่มองลงมาจากสวรรค์คงผิดหวังในตัวข้าอยู่มาก โง่เง่าๆ ๆ ๆ” หยาเหยา ลุกพรวกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สีหน้านางเต็มไปด้วยเกรี้ยวกราด
“คุณหนูใจเย็นลงก่อนนะเจ้าค่ะ”
“เมื่อไหร่อีต้าแม่ทัพนั่นจะหย่ากับข้าสักที” หยาเหยากัดริมฝีปากอย่างกลั้นอารมณ์ที่ฉุนเฉียวของนาง
หนึ่งเดือนต่อมา
จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้หย่า หยาเหยามิอยากให้ต้องเป็นเรื่องใหญ่โตรบกวนเบื้องบาทฮองเต้โดยไม่จำเป็น ครั้นอยากจะแต่งก็ใช้ฮองเต้บีบบังคับ คราจะหย่ายังต้องอาศัยบารมีท่านอีก นับเป็นความอัปยศ หลู่เมิ่งผู้นั้นจะมิตราหน้าว่านางไร้สามารถหรอกหรือ
เรื่องต้วนซิ่วดูถ้าจะทำให้นางชื่อเสียใสสะอาดขึ้นมานับว่าไม่น้อยแต่นั้นก็ยังมิได้มาก แต่งงานนับปียังบริสุทธิ์นับว่ารู้กันทั่วเมืองหลวง หลู่เมิ่งยามเดินออกไปภายนอกจวนก็มิพ้นถูกชาวบ้านมองด้วยสายตาประหลาดๆ หากแต่แม่ทัพผู้นี้หนังหน้าก็หนาพอควร เขาเพียงสนจะเอาชนะหยาเหยาเพียงเท่านั้น
เวลานี้ก็ล่วงเลยผ่าน ฤดูร้อนก็เคลื่อนคล้อยมาเป็นฤดูฝน
.
.
.
.
.
ตลาดผ้า
“คุณหนูเจ้าคะ ที่นี้คนเยอะเกินไปเรากลับกันเถิดนะเจ้าค่ะ” ชิงชิงที่สวมอาภรณ์บุรุษสีน้ำเงินเข้มกล่าวกับหยาเหยาผู้เป็นนาย นางที่สวมชุดบุรุษผ้าไหมพริ้วสีขาวมุกสลลับขลิบดำลายดอกบัวเงิน ตัวนางที่เดินนำหน้าอยู่ที่ในตลาดผ้าที่ใหญ่ที่สุดของเมืองอย่างใคร่รู้ใคร่ลอง
“คุณชาย….” หยาเหยานางทำท่าจุ๊ปาก
“ชิงชิงลืมตัว…. คุณชายๆ” ชิงชิงนางอมยิ้ม
“อีกไม่กี่วันเกอเกอข้าก็จะกลับมาแล้ว ไม่พบกันเสียนานต้องหาของดีๆต้อนรับเสียหน่อย ตอนเขาไปข้าไม่แม้นจะส่งเขาด้วยซ้ำ” หยาเหยายิ้มเจือนๆ บางสิ่งในใจของนาง เรื่องราวในอดีตให้หลังเวลานี้คล้ายจะกลับมาให้นางจดจำชัดเจนขึ้นเเม้นเวลาจะผ่านไปเกือบสามปีแล้วก็ตาม
“คุณชายเผิงจะกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ คุณชายจากบ้านตระกูลซื่อเราไปสองปีเกือบสามปีเห็นจะได้” ชิงชิงครุ่นคิด
“เกอเกอของข้ายามนี้จะเป็นเช่นไรบ้าง ตัวข้านี้เกรงลืมหน้าเกอเกอผู้นั้นเสียแล้วสิ่ ไม่รู้ว่าป่านนี้แล้วเขาจะเปลี่ยนไปเพียงไหน จะยังดีกับเหม่ยเหมยอย่างเขาอยู่อีกหรือไม่?” หยาเหยานางเอ่ยเบาๆ
“คุณชายเผิงรูปงามเป็นทรัพย์ทั้งกริยาก็งามความรู้ก็มาก ผ่านไปสามปีคุณชายเผิงก็ต้องยิ่งทวีความดีงามเป็นสิบเท่าๆเจ้าคะ แล้วที่สำคัญขายไม่มีทางลืมคุณหนูแน่เจ้าค่ะ ท่านทั้งสองเติบโตด้วยกันมาแต่เล็กหนิเจ้าคะ” ชิงชิงส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้คุณหนูของนาง
“ตอนนั้นข้ายังเล็กนักอย่าถือเอาคำพูดข้ามาเป็นจังนักเลย” หยาเหยายิ้มอายสายตาของชิงชิง
“เจ้าคะๆ ไม่พูดแล้วเจ้าคะ” ชิงชิงเย้าหยอกหยาเหยา
“อีกอย่าง ยามนี้ไม่มีอะไรที่เหมือนดังปีนั้น….. อีกแล้ว ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว” หยาเหยาหันกลับมาเอ่ยเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นเคลือ
สองชั่วยามผ่านไป
สองมือของชิงชิงเต็มไปด้วยห่อผ้า จนหยาเหยานางต้องช่วยหยิบช่วยถือแต่ก็ได้มาน้อยนัก ด้วยชิงชิงหวงมือสองข้างของคุณหนูนางมากมิยอมให้แบกรับอะไรอีกเลย….
ระหว่างทางกลับหยาเหยาเดินทางกลับอีกทางเห็นศาลาริมน้ำหลังหนึ่ง ศาลาหลังนี้ตั้งอยู่ริมสระใหญ่สีเขียวมรกต นางจึงชวนให้ชิงชิงนั่งพักเสียที่นี้ก่อนเดินจนขาจะเท่าขาช้างแล้ว
ไม่นานนักในขณะที่หยาเหยากำลังจะลุกเดินออกไปจากศาลาก็พบว่า
“ชิงชิง ป้ายหยก… ป้ายหยกข้าหาย” หยาเหยาหน้าซีดผาด
“ป้ายหยกหรือเจ้าคะ…. อ้อชิงชิงพอจะนึกออกแล้วต้องเป็นที่ร้านที่คุณหนูเข้าไปลองสวมอาภรณ์เป็นแน่เจ้าคะ เดี๋ยวชิงชิงจะกลับไปถามให้นะเจ้าคะ”
“ไปด้วย” หยาเหยาทำท่าจะวิ่งตามแต่ถูกชิงชิงขัดเสียก่อน
“รออยู่ที่นี้เถิดเจ้าคะ ชิงชิงไปเพียงครู่เวลานี้ดูท่าฝนจะตกด้วยแล้ว”
“แต่…”
“ชิงชิงไปแล้วนะเจ้าคะ”
หยาเหยานั่งอย่างเหม่อๆ อยู่ชั่วครู่ ฝนก็ร่วงหล่นมาจากฟ้าจริงๆ ดูท่าจะเป็นฝนพายุเสียด้วย หยาเหยาย้ายเข้าไปนั่งทางด้านในของศาลาบริเวณที่ฝนไม่สาดถึง นางที่นั่งอยู่เพียงลำพังในศาลาหลังนั้นทอดสายตามองไปรอบๆกาย ไร้วี่แววผู้คน เสียงที่ดังที่สุดคงจะเป็นเสียงของหยาดฝนตกกระทบผืนดิน เสียงซ่าๆดังอยู่อย่างเป็นจังหวะนั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะสายลมที่เย็นจนเกินไปทำให้หยาเหยาพล่อยหลับลงไปได้ และด้วยความเย็นสบายของอากาศทำให้นางหลับลึกลงไป
.
.
.
.
เสียงฝีเท้าของคนสองคนก้าวเข้ามาในศาลาริมน้ำหลังนี้ พิกลนัก!! หรือเบื้องบนยังคงคิดแค้น ชะตายังคงดื้อดึงให้ทั้งสองเผชิญหน้า และผู้ที่หยาเหยามิอยากพบหน้าที่สุดกลับบังเอิญอะไรเช่นนี้ ใช่…. สองคนนั้นคือ หลู่เมิ่งกับผู้ติดตามจ้าวจั่น
“ท่านแม่ทัพขอรับดูท่าศาลานี้จะไม่ได้มีเพียงแค่เราสองคน”จ้าวจั่นเอ่ยเสียงเรียบ
“นั้นสิ ดูท่าจะสบายใจง่ายนักฝนตกหนักเช่นนี้กับหลับลงได้” หลู่เมิ้งยิ้มมุมปากเล็กน้อย เขาเห็นเพียงนางจากทางด้านหลัง
“ดูจากอาภรณ์แล้วดูท่าจะเป็นคุณชายตระกูลใหญ่มั่งมีมากพอควร กล้ามานอนหลับลำพังเช่นนี้ช่างมิกลัวภัยรอบตัวเลยสักนิด” จ้าวจั่นกล่าวพร้อมกับส่ายศีรษะไปมาเบาๆ
หากเอ่ยถึงจ้าวจั่นคนสนิทของแม่ทัพหยางหลู่เมิ่งผู้นี้ สำหรับเขาแล้วหยาเหยานับเป็นนายหญิงผู้นี้คุณต่อเขามาก หยาเหยาใจดีและมักช่วยเหลือจ้าวจั่นเวลาเขามีปัญหาที่แก้ไม่ตก จ้าวจั่นจึงนึกเสียดายนายหญิงผู้นี้อยู่ในใจ และสำหรับหยาเหยาแล้วจ้าวจั่นก็นับเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์ภักดี เป็นคนดีที่ไม่เป็นที่สอง นางจึงเอ็นดูเขามาก มิได้เเบ่งชั้นขึ้นนายบ่าวจนชัดเจนนัก
“เปรี้ยง!!!!!!!!” เสียงฟ้าผ่าทำให้หยาเหยาสะดุ้งเฮือก
“ท่านแม่….” หยาเหยาร้องเรียกแม่ของนางออกมาโดยไม่รู้ตัว
เสียงนั้นทำให้หลู่เมิ่งรู้ได้โดยทันทีเลยว่านั้นคือซื่อหยาเหยาภรรยาอยากจะหย่าของเขานั้นเอง เหตุใดนางจึงสวมอาภรณ์เช่นบุรุษ มิหนำยังมาอยู่ในที่ไร้ผู้คนลำพังเช่นนี้ได้ ภายในใจเขานึกตำหนิชิงชิงที่ปล่อยให้นายหญิงของนางอยู่เพียงลำพัง คิดแต่ว่าจะกลับจวนไปตำหนิ แต่แล้วใจก็เกิดนึกขึ้นได้ว่า เขากับนางในเวลานี้มิต่างกับสะพานหินขาดๆทางยาวร้อยหลี่
ยามนี้ใบหน้านางกลับตระหนกนัก ครั้นแอบมีหยดน้ำตาเอ่อล้นออกมาด้วย หยาเหยานางคิดถึงมารดาของตนอย่างยิ่ง
หลู่เมิ่งเห็นดังนั้นก็ไม่เคยคิดเลยว่าภรรยาพระราชทานของเขาผู้นี้จะมีมุมนี้กับเขาด้วย มุมที่….. น่า….
“นายหญิง” เสียงของจ้าวจั่น เขาเอ่ยขึ้นเมื่อได้เห็นใบหน้างามงดของบุรุษผู้สวมชุดขาวเมื่อครู่ที่เขาเพิ่งเอ่ยวิจารณ์อาภรณ์ไป
หยาเหยาได้สติหันกลับไปมองยังต้นเสียง…. นางมีสีหน้าประหลาดใจกึ่งเสียใจที่เห็นหลู่เมิ่ง
“เป็นไงเสียใจมากหรือที่พบหน้าสามีที่ไม่ได้เห็นกันมาหนึ่งเดือน” หลู่เมิ่งกล่าวกระทบ
“ใช่” หยาเหยากล่าวพร้อมกับเบือนหน้าไปทางอื่น
“ไม่อยากเห็นหน้าข้าถึงเพียงนั้น” หลู่เมิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงขบขัน
“คุณหนูเจ้าคะชิงชิงกลับมาแล้วเจ้า….. คะ” ชิงชิงใบหน้าซีดผาดเมื่อเห้นว่าผู้ที่อาศัยศาลาหลังนี้เป็นที่หลบฝนคือผู้ใด
“ท่านแม่ทัพ….” ชิงชิงย่อกายเคารพ
“ชิงชิงเหยาเหยาอยากกลับจวน” หยาเหยาเอ่ยอย่างนุ่มนวลกับชิงชิง
“แต่ฝน…..”
“ช่างประไรร่มเราก็มี”
“แต่ผ้าของคุณชายเผิงอาจเปียกน้ำได้นะเจ้าคะ ไม่ดีแน่เจ้าคะเปียกน้ำฝนเช่นนี้ผ้าบางผืนก็สีสดเกรงว่าจะซึมผสมเป็นเนื้อเดียวกับสีขาว”
หยาเหยานิ่งไปชั่วครู่ จึงนั่งลง
“ยังไม่ทันจะหย่าก็มีชายใหม่ในใจง่ายดายเพียงนี้ ใครไม่รู้คงคิดว่าที่เจ้าหย่าเพราะมีใจให้ชายชู้จนอดใจรอไม่ไหว” หลู่เมิ่งเอ่ยขึ้น
“ไม่ใช่นะเจ้าคะท่านแม่ทัพ” ชิงชิงเอ่ยขึ้น
“ใช่ข้ามีชายในดวงใจคนใหม่แล้วโปรดรับรู้ และหย่ากับข้าด้วย มิเช่นนั้นบุรุษผู้องอาจอย่างแม่ทัพหยางหลู่เมิ่ง คงมิพ้นจะโดนข้อครหาว่าเป็นพวกนิยมสวมหมวดเขียวไว้บนศีรษะ” หยาเหยาเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ซื่อหยาเหยา!!” หลู่เมิ่งราวกับไฟลุกท่วมศรีษะ
“เรียกชื่อเต็มๆ เช่นนี้ จะหย่าแล้วใช่หรือไม่”
“ไม่มีวัน” หลู่เมิ่งแค่นยิ้ม ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาหยาเหยาแต่ก็ถูกเสียงอันเย็นชาของนางสะกัดขาไว้เสียก่อน
.
.
.
.
“หยุด!!”
“อย่าเข้ามา”
หลู่เมิ่งนิ่งไปชั่วครู่ยามนี้หยาเหยามิใช่ผู้ที่รักและเทิดทูลเขาเช่นในปีนั้นอีกแล้ว…… เรื่องจริง??
โปรดติดตามตอนต่อไป