ลิขิตรักสมรสพระราชทาน – ตอนที่ 7 เสียใจ?

ลิขิตคนรึหานสู้ลิขิตฟ้า ลิขิตนี้ลิขิตเเล้วให้นำพา

ลิขิตนี้เมื่อหวนมา ลิขิตเเล้วซึ่งตัวเจ้าตัวข้า

ลิขิตนั้นลิขิตพรรค ลิขิตรักสมรสพระราชทาน

……

หลังจากสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกจบไป ซื่อหยาเหยา บิดานาง และเผิงอวิ๋นก็ได้นั่งรถม้ากลับบ้าน โดยที่บิดาของหยาเหยสก็มิวายยัดเยียดให้นางกับเผิงอวิ๋นนั่งรถม้าคันเดียวกันเพื่อกลับจวน

ภายในรถม้านั้นทุกอย่างเงียบ…. เงียบจนดูน่ากลัวในบางทีหยาเหยานางเอาแต่ก้มหน้ามิพูดมิจา ผิดกลับด้านเผิงอวิ๋นที่เขาเอาแต่จ้องมองมาที่นางด้วยสีหน้าและแววตาที่ลึกซึ้งเกินบรรยาย

“เหยาเอ่อร์” เผิงอวิ๋นเป็นผู้เอ่ยปากขึ้นมาก่อน

หยาเหยาที่ในเวลานั้นใจนางเหม่อลอบไปไกล…. เมื่อได้ยินเสียงเผิงอวิ๋นเอ่ยเรียกชื่อนางตัวนางก็สะดุ้งเงยหน้าตอบเขาอย่างรวดเร็ว “เจ้าคะ “

เมื่อหยาเหยาเงยหน้าขึ้นมาเอ่ยกับเผิงอวิ๋นจนจบประโยคนั้น นางก็ก้มหน้ากลับลงไปอีกครั้ง

“เจ้าเสียใจ?” เผิงอวิ๋นเอ่ย ด้วยน้ำเสียงกึ่งผิดหวังน้อยๆ

“เสียใจ?” หยาเหยาเงยหน้าขึ้นมาตอบอีกครั้ง

“ที่ต้องแต่งกับข้า?” เผิงอวิ๋นเอ่ยประโยคนั้นพร้อมกับมองลึกเข้าไปในนัยน์ตาของหยาเหยา

หยาเหยานางรีบส่ายหน้า….. ที่นางเงียบไปเพราะนางไม่มีหน้าที่จะสู้ได้แล้วจริงๆ แท้จริงคำพูดในปีนั้นของเผิงอวิ๋นล้วนออกมาจากใจ เป็นคำสัตย์สาบานโดยแท้ แต่นางเล่ามิเพียงมิเชื่อใจ กลับปันใจไปให้ชายอื่น เลวนัก!!

“หากมิเสียใจ ใยมิยิ้มบ้าง มิมองหน้าพี่บ้าง ทำเช่นนี้ไม่เหมือนน้องพี่เลยสักนิด” เผิงอวิ๋นกล่าว ดวงตากลมโตมีแววประกายของนาง สบเข้ากับดวงตาลึกซึ้งและเปิดเผยของเผิงอวิ๋นเข้าเต็มๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ในตอนนี้หยาเหยาคล้ายจะถูกมนต์สะกดนางขยับกายไม่ได้เลย

“พี่มิโทษเจ้า เจ้าก็อย่าได้โทษตนเองอีกเลย สตรีใดในโลกสำหรับพี่ ก็มีแต่เจ้านี้แล้วที่ดีที่สุด” เผิงอวิ๋นยิ้ม รอยยิ้มที่อบอุ่นนั้น ….. หยาเหยานาง…. นางเผยยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกจากส่วนลึกในใจ แต่เรื่องเช่นนี้จะว่าไม่ถือโทษคำเดียวก็จบเรื่องแล้วหรือ ตัวนางหรือก็พลาดใจไปรักบุรุษอื่นถึงสองปีเต็ม

เมื่อหยาเหยาได้สตินางก็ดึงมือของตนออก….. ประจวบกับในเวลานั้นรถม้าก้ได้หยุดลงที่หน้าจวนพอดิบพอดี

……

ภายในเรือนของหยาเหยา

ในเวลานี้นางอาบน้ำชำระกายเป็นที่เรียบร้อย คำพูดหวานหูของเผิงอวิ๋นก็ยังคงติดค้างในใจนางอยู่ หาได้สลายหายไปกับสายน้ำที่ชำระล้างร่างกายของนางหรือก็ไม่ หยาเหยานางนั่งเหม่อลอยมองเปลวไฟในโคมไฟอยู่อย่างจนจะครึ่งชั่วยามแล้ว ก็มิละสายตาไป

“คุณหนูเจ้าคะ” ชิงชิงเอ่ยเรียกนายตน ด้วยความเป็นห่วง

“อ้อ……” หยาเหยาเอ่ยขึ้น

“คุณหนูกังวลใจเรื่องใดกันเจ้าคะ” ชิงชิง นั่งลงกับพื้นที่ตรงหน้าของหยาเหยา

เหยาเหยานางเพียงถอนหายใจเบาๆ เพียงเท่านั้น

“คุณหนูของชิงชิงหากนับเป็นหยกก็ย่อมเป็นหยกที่ล้ำค่าและหายากที่สุดในแผ่นดิน หากนับเป็นดวงดาวก็เป็นดวงดาวที่ส่องแสงสว่างที่สุดบนท้องฟ้า “ชิงชิงนางเอ่ยพร้อมกับวางมือลงบนมือของหยาเหยาอย่างปลอบประโลม

“จวบจนวันนี้แล้วสตรีที่เคยผ่านการแต่งงานหากเป็นหยกงามก็นับว่ามีรอยร้าว หากนับว่าเป็นเดือนดาวก็นับว่ามีราคีเมฆดำที่ลดทอนแสงสว่าลงไปแล้ว” หยาเหยาในเวลานี้ดวงตานางคล้ายมีความกังวลอย่างยิ่ง

“คุณหนูของชิงชิงคุณค่าของคุณหนูหาได้อยู่ที่ผ่านอะไรไม่ผ่านอะไร…. ชิงชิงอยู่กับคุณหนูมานับแต่จำความได้ ชั่วชีวิตคุณหนูของชิงชิงมิเคยทำผิดต่อฟ้าดิน นับแต่ท่านถือกำเนิด ไม่ว่าจะกาพย์กลอน การร่ายรำ การดนตรี หรือแม้นแต่ตำราต่างๆ ท่านก็เชี่ยวชาญชำนาญจนสิ้น จนแต่งเข้าจวนท่านแม่ทัพท่านก็เป็นเอกภรรยา เป็นยอดของสตรีในแผ่นดิน ท่านมิเคยทำผิดต่อผู้ใด คุณหนูของชิงชิงท่านได้โปรด….. ความผิดพลาดหนหนึ่งในชีวิตท่านจะนำมาเป็นตราบาปหาได้ไม่ ฮูหยินย่อมคิดเช่นเดียวกับชิงชิงเจ้าคะ” ในตอนนั้นชิงชิงนางหลั่งน้ำตา นางเลี้ยงดูเหยาเหยามานับแต่เล็ก เป็นทั้งเพื่อนทั้งพี่ เป็นทั้งนายทั้งบ่าว

“ชิงชิง…. เหยาเหยามีสิทธิ์จริงๆ หรือ คู่ควรกับความรักของเผิงอวิ๋นเกอเกอ จริงหรือ…. เหยาเหยาสามารถเอ่ยคำรักกับท่านพี่โดยไม่ละอายแก่ใจได้หรือ ชั่วชีวิตหยาเหยาอยากจะเป็นสตรีใจเดียว ผู้ใดอยากแต่งแล้วหย่า แต่หยาเหยาทนไม่ได้ที่คนผู้นั้นทำร้ายชิงชิงของข้า พี่สาวของข้า” หยาเหยาประคองใบหน้าของชิงชิงพร้อมกับหลั่งน้ำตาออกมา

จากนั้นทั้งสองก็สวมกอดกัน…..

จวนแม่ทัพ

ในเวลานี้ก็ผ่านยามสามไปแล้วหลู่เมิ้งก็ยังคงนั่งอยู่ในสวนกลางจวน…… เขากำลังดื่มเหล้า ดื่มเหล้า ผ่านไปแล้ว จอกแล้วจอกเล่า….. ผู้ใดบ้างจะเข้าใจความรู้สึกนี้

ครั้งหนึ่งสตรีที่เขามองว่าไร้ค่า…. จนเมื่อนางได้จากเขาไปคำพูดนั้นของนางทำให้เขาสะเทือนใจเป้นอย่างมาก สัมผัสสุดท้ายก่อนลาจากเป็นมือที่แสนหยาบกระด้างของภรรยาผู้ปรนนิบัติสามีของนาง

แล้วในวันนี้ก้อนดินไร้ค่าในสายของเขาในวันนั้นกลับมีเอกบุรุษแห่งยุค หมายคว้าเอาไปครองต่อหน้าต่อตา บุรุษผู้นั้นรักนางมีใจต่อนางโดยแท้

หลู่เมิ้งย้อนคิดไปหากในวันนั้นเขาดีต่อนางสักหน่อย…. ไม่ใจร้ายใจกำต่อนางเพียงนั้นวันนี้เขากับนาง ….. วันนี้นางอาจจะยังอยู่ในจวน คอยซักผ้า ทำอาหาร เตรียมน้ำให้อาบ จัดแจงเรื่องต่างๆ ภายในจวนนี้ อาจจะเป็นเช่นนั้นอยู่ก็ได้

ในยามนี้แม้นแต่เวลาที่เขาเงยหน้ามองดวงจันทร์อาจจะด้วยฤทธิ์สุราที่สะสม ทำให้แม้นแต่เงาบนพระจันทร์ยังเป็นภาพใบหน้าของซื่อหยาเหยากำลังยิ้ม ยิ้มอย่างอบอุ่นมายังเขาที่นั่งอยู่ตรงนั้น รอยยิ้มของสตรีที่ยืนรอรับเขาอยู่ที่หน้าจวนในปีนั้น

ลิขิตรักสมรสพระราชทาน

ลิขิตรักสมรสพระราชทาน

Status: Ongoing
อ่านนิยาย ลิขิตรักสมรสพระราชทานบทนำ เริ่มที่รัก จากด้วยชัง “ข้าซื่อหยาเหยา มีค่าเกินกว่าจะให้ใครหรือเเม้นเเต่ท่านดูถูกเหยียดหยาม ตัวข้าก็คนมีหัวใจ ไม่ต่างอะไรกับท่านเลย” เป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่นางจะเดินหันหลังให้กับจวนเเม่ทัพใหญ่ไป นางสู้อดทนมาเป็นเวลาหนึ่งปี ไม่เคยปริปากบ่น แม้นสักคำก็มิมีบอกให้ซื่อเฟิงมู่บิดาตนรู้ว่า ตลอดเวลาที่นางใช้ชีวิตอยู่ที่จวนเเม่ทัพเเห่งนี้ต้องทนรับความอัปยศเพียงใด หนึ่งปีก่อนหน้านี้ “มีราชโองการเเม่ทัพใหญ่ สกุลหยาง นามหลู่เมิ้ง มีความชอบใหญ่หลวงต่อแผ่นดิน จึงประทานสมรสให้เเต่งกับ สตรีสกุลซื่อ นามหยาเหยา เป็นภรรยา จบราชโองการ!! ” หลู่เมิ้งโค้งคำนับรับราชโองการ….. ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ การเเต่งงานการเมืองเช่นนี้ผู้ใดจะพึงใจกัน!! . . คืนวันเเต่งงาน ภายในห้องหอหญิงสาวผู้ได้ชื่อว่างามล้ำซ้ำยังเป็นหยกล้ำค่าเเห่งจวนอัครเสนาบดี กำลังนั่งใบหน้าเเดงกล่ำมีเพียงพัดเป็นฉากกั้นกลางระหว่างนางกับบุรุษที่นางรักเเละหมายปอง สตรีเช่นนางหากเเต่งเข้าจวนอ๋องหรือวังไท่จื่อ เกรงว่าจะเหมาะสมกว่าด้วยซ้ำ เเต่นางหยาเหยา… รักบุรุษผู้นี้มาตั้งเเต่เเรกพบสบตา ใช้วิธีการต่างๆ นาๆ สุดท้ายให้บิดาผู้เป็นเอกอัครเสนาบดี ทูลต่อฮองเต้ ให้เเต่งนางเข้าจวนเเม่ทัพ หลู่เมิ้งในวัยยี่สิบเจ็ดปี.. มีรูปกายเป็นทรัพย์อันลำค่า บุรุษในวัยหนุ่มร่างกายกำยำ มากด้วยสติปัญญา ซ้ำยังมิเคยยุ่งเกี่ยวสตรี รอยยิ้มอันงดงามตราตรึงใจนางไว้ได้ “สมใจเจ้าเเล้วสินะ?? ” “ท่านพี่ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ” หร่งเหยาเอ่ยขึ้น ทั้งที่บุรุษผู้นั้นเพิ่งเปิดประตูเข้ามาเเท้ๆ กลับเอ่ยวาจาประหลาดนัก “ก็ที่เเต่งเข้าจวนข้าได้ คงสมใจเจ้าเเล้ว?? ” “เรื่องนั้น….” หยาเหยายิ้ม “ท่านพี่ ท่านจะไปไหนเจ้าคะ ยัง.. ยังไม่ได้….” “ราชโองการเพียงให้ข้าเเต่งเจ้าเข้าจวน.. มิได้บอกให้รักเจ้า ให้ดีต่อเจ้า หรือห้ามให้ข้าออกจากห้องหอไปเสพสุขกับสตรีนางอื่น” ‘ปั่ง!! ‘ เสียงประตูปิดดังลั่นจนร่างบางต้องสะท้านด้วยความตกใจ.. บุรุษผู้นี้ใช่บุรุษที่นางเฝ้ารัก ที่นางถนอมกายใจ ไว้มอบให้เขาจริงหรือ ใช่บุรุษที่มีรอยยิ้มงดงามที่นางพบวันนั้นใช่หรือไม่?? เหตุใดเขาจึงใจร้ายต่อนางนักหยาเหยา ผู้ไม่เคยถูกกระทำรุนเเรงต่อจิตใจเช่นนี้ถึงกับกลั่นน้ำตาไว้ไม่อยู่… …………… โรงเตี้ยมฟูหลัว “ท่านเเม่ทัพวันนี้เป็นคืนเข้าหอเเท้ๆ เหตุใดท่านจึงออกมาดื่มเหล้ากับพวกข้าเช่นนี้เล่า ฮูหยินมิเคืองท่านเเย่หรือ” “จะพูดถึงนางทำไมกัน” “อ่าว.. นางเป็นภรรยาท่าน?? ” “หึ… นางเพียงเเต่งเพื่อเสริมอำนาจให้บิดานางเพียงเท่านั้น อย่าได้สนใจเลย” “ท่านเเม่ทัพ เหตุใดท่านจึงคิดเช่นนั้น” “ให้ข้าคิดเป็นอื่นได้อย่างไรเล่า หน้าก็มิเคยพบ.. จะให้รักหรืออย่างไร?? ” สามวันต่อมา หลู่เมิ่งออกจากจวนไปสามวันพึ่งกลับ… กลับมาเขาคิดว่าหยาเหยามิพ้นต้องโกรธเป็นฟืนไฟ หากเเต่ตรงกันข้าม.. พอถึงจวนนางกลับยกอาหารยกน้ำชามาต้อนรับเขาด้วยสีหน้ายิ้มเเย้ม ใบหน้าของหญิงสามวัยเเรกเเย้ม….. งดงาม งดงามสมคำร่ำลือ กริยาอ่อนหวานอ่อนโยนน่าถนอมยิ่ง สายตาที่นางมองเขาราวกับกระต่ายน้อยเเสนเชื่อง “ท่านพี่ ท่านกลับมาเเล้ว ข้าทำอาหารไว้รอท่าน” “ไม่ต้องลำบากหรอก บ่าวไพร่ในจวนก็ออกมาก” “ไม่ลำบากเจ้าคะ เพื่อท่านพี่ น้องเต็มใจ” “ดี!! เช่นนั้น.. นับจากวันนี้ไปงานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวข้า ไม่ว่าจะเสื้อผ้า อาหารการกิน น้ำที่ข้าอาบ ให้เจ้าเป็นคนจัดการเองทั้งหมด” “เอ้?? ” “ทำไม.. ทำไม่ได้หรือ” “ได้.. ได้เจ้าคะ” หลังจากวันนั้นเสื้อผ้าทุกตัวของหลู่เมิ่งก็ต้องให้หยาเหยาเป็นคนจัดการซักเองกับมือ อาหารทุกอย่างก็เป็นหยาเหยาที่เป็นคนจัดเเจง น้ำที่เขาใช้อาบก็เป็นนางตระเตรียมให้ทุกเย็น.. นางคอยเติมน้ำปรับอุณหภูมิให้พอเหมาะเพื่อให้ หลู่เมิ้ง สุดที่รัก ดวงใจของนางพอใจ.. ลำบากเพียงใดนางมิเคยปนิปากบ่น สามเดือนผ่านไป หยาเหยาทำหน้าที่ทุกอย่างมิขาดตกบกพร่อง.. อีกฝ่ายกับคิดไปอีกทาง คิดว่านางทนทำเช่นนี้ก็เพราะเพื่ออำนาจของตระกูลนางจะได้มั่นคงเพียงเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset