ลิขิตรักสมรสพระราชทาน – ตอนที่ 8 ความภาคภูมิในใจตน

บทที่แปด

หลายวันต่อมา

จวนเสนาบดีสกุลซื่อ

บิดาของหยาเหยาได้เตรียมการหลายสิ่ง…. แต่หลายอย่างก็เป็นสิ่งที่ทางสำนักราชวังพระราชทาน กรมพิธีการจะเป็นผู้จัดการเรื่องสมรสพระราชทานนี้

หยาเหยาหลายวันมานี้นางไม่ค่อยจะสุขสบายใจนักด้วยที่รู้สึกผิดก็ยังคงรู้สึก….. หวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตยิ่งทำให้นางรู้สึกผิดต่อเผิงอวิ๋นอย่างเลี่ยงไม่ได้ จนเมื่อชิงชิงมิอาจที่จะทนอยู่ได้ จึงพูดจาเกลี่ยกล่อมให้หยาเหยาออกไปนอกเรือน นอกจวนบ้าง…. ไม่ก็ออกไปพบกับเหล่าเด็กน้อยๆ ที่หยาเหยามักใช้เวลาว่างสั่งสอน

หยาเหยาในตอนแรกก็ไม่ยินดีนัก แต่ภายหลังก็ยอมออกไปจากเรือนพักแต่โดยดี นางก็คิดถึงเด็กเล็กๆ พวกนั้นเหมือนกันพวกเขาเป็นลูกชาวบ้านธรรมดา ที่ฐานะไม่สู้ดีนักมิได้เล่าเรียนหนังสือ บ้างก็เป็นลูกของบ่าวรับใช้ในจวน ไม่ว่าจะเป้นจวนเสนาบดีสกุลซื่อเอง หรือจวนแม่ทัพสกุลหลู่ หลายปีมานี้นางใช้เวลาที่หลู่เมิ่งไม่อยู่จวนไปรบยังต่างเมือง คอยดูแลเด็กๆ เหล่านี้ เหมือนที่มารดานางมักจะกระทำ

…….

ศาลากว้างริมบึงเหลียนฮวา

ณ ศาลานี้ เป็นศาลาหลังใหญ่ มารดาของหยาเหยาเป็นผู้สร้างขึ้น ด้วยเหตุผลเดียวกับที่นางจะกระทำในวันนี้

หยาเหยานางมองไปที่ศาลาหลังนั้น…. นึกถึงวันคืนที่นางมาที่นี้ ความภาคภูมิในตน ในอดีตนางมีอยู่เต็มเปี่ยม ยามเดินมิเคยฟ้า ยามนอนมิเคยอายดิน

ซื่อหยาเหยาชั่วชีวิตนางเคยคิดว่าจะเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่เพียบพร้อมไปชั่วชีวิต แต่แล้ววันนี้นางพบว่าไม่มีอีกแล้ว

ในตอนนั้นหยาเหยานั่งลงที่โต๊ะกึ่งกลางของศาลา ชิงชิงนางได้นำพู่กันกับกระดาษมาวางไว้ให้กับซื่อหยาเหยา หยาเหยานางเริ่มบรรจงเขียนอักษร หยาเหยานางมีทักษะด้านการเขียนอักษรอยู่มาก….. บิดานางสั่งสอนนางมาพร้อมกับเผิงอวิ๋น

แต่เผิงอวิ๋นก้นับว่าก้าวหน้าเช่นกัน ดังนั้นลายมือของเผิงอวิ๋นกับหยาเหยาก็นับว่าคล้ายกันอยู่หลายส่วน

ขณะที่หยาเหยาบรรจงจรดปลายพู่กันลงไปอยู่นั้นภาพในอดีตก็หวนกลับคืนมา….. ในตอนที่เผิงอวิ๋นในวัยเก้าขวบ จับมือนางวาดพู่กันลงไปบนกระดาษ…. กว่าครึ่งชีวิตแล้วที่มีนางมีเขา

ในตอนนี้ที่หยาเหยากำลังเหม่อลอยอยู่นั้น นางก็คืนสติด้วยเสียงของเด็กๆ ที่เดินเข้ามาในศาลาเหลียนฮวานั้น

ในเวลานี้ดอกบัวในสระกำลังเบ่งบารส่งกลิ่นหอมพอควร….. “คาราวะ นายหญิง”

เสียงของเด็กๆ เหล่านั้นทำความเคารพนาง หยาเหยาวางพู่กันแล้ว นางยิ้มให้กับเด็กเหล่านั้น เวลานี้มีอยู่ด้วยกันหกคน

“พวกเจ้ามาแล้ว มิได้พบกันเสียนาน ที่เคยสอนไปลืมแล้วใช่หรือไม่”

“ไม่ขอรับ…. พวกเราหมั่นทบทวน มิทำให้นายหญิงผิดหวังแน่นอน”

ในตอนนั้นหยาเหยานางจึงให้ชิงชิง ยื่นกระดาษเปล่าๆ พร้อมพู่กันให้กับเด็กๆ ที่ไปจับจองที่นั่งกัน หยาเหยานางก็เริ่มลงมือสอบทบทวนความรู้ของพวกเขาไปเสียก่อน

“อ้อ…. ทำไมจึงมีเพียงหก?” หยาเหยาเอ่ย

“พวกเขา กำลังมาขอรับ” หนึ่งในนักเรียนของหยาเหยาเอ่ยตอบ

………..

จวนแม่ทัพ

ในตอนนั้นหลู่เมิ่งกำลังฝึกวิชาอยู่ที่ลานกลางจวนวันนี้เขาฝึกกระบี่….. เพื่อควบคุมอารมณ์ที่พักนี้แปรปวนของเขา

เขาก็ได้สังเกตเห็นว่าเด็กๆ บุตรของบ่าวในจวน กลุ่มหนึ่งสี่ห้าคน หอบข้าวของด้วยความรีบร้อนแต่มีใบหน้ายิ้มแย้มดีใจ ออกไปจากจวน

เขาจึงเอ่ยถามกับคนสนิทว่า เด็กเหล่านั้นไปที่ใดกัน

คนสนิทเขาในคราวแรกก้ตอบไปอย่างส่งตามความเคยชินในอดีต….. “ไปเรียนหนังสือกับนายหญิงขอรับ”

“นายหญิง?” หลู่เมิ่งถามย้ำ

“เอ่อ….. ไม่สิๆ คุณหนูหยาเหยา”

“นาง? กับนาง?”

“ใช่ๆ ใช่ขอรับ”

หลู่เมิ่งนิ่งไปชั่วครู่….. เขาลดกระบี่ในมือลง และยื่นให้กับคนสนิทคนนั้น….

“ที่ไหน?” หลู่เมิ่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอย

“ขอรับ? ….”

“ที่ไหน? พวกเขาไปที่ไหนกัน?”

“อ้อ….. ศาลารืมสระเหลียนฮวา ขอรับ นายท่านจะไป??”

หลู่เมิ่งหลุบตาลงมิตอบสิ่งใด เพียงแต่ก้าวเดินออก บ่าวสนิทคนนั้นก็มิรอช้า ยื่นกระบี่ให้กับอีกคน และเดินตามนายของตนจากไปทันที

ลิขิตรักสมรสพระราชทาน

ลิขิตรักสมรสพระราชทาน

Status: Ongoing
อ่านนิยาย ลิขิตรักสมรสพระราชทานบทนำ เริ่มที่รัก จากด้วยชัง “ข้าซื่อหยาเหยา มีค่าเกินกว่าจะให้ใครหรือเเม้นเเต่ท่านดูถูกเหยียดหยาม ตัวข้าก็คนมีหัวใจ ไม่ต่างอะไรกับท่านเลย” เป็นคำพูดสุดท้ายก่อนที่นางจะเดินหันหลังให้กับจวนเเม่ทัพใหญ่ไป นางสู้อดทนมาเป็นเวลาหนึ่งปี ไม่เคยปริปากบ่น แม้นสักคำก็มิมีบอกให้ซื่อเฟิงมู่บิดาตนรู้ว่า ตลอดเวลาที่นางใช้ชีวิตอยู่ที่จวนเเม่ทัพเเห่งนี้ต้องทนรับความอัปยศเพียงใด หนึ่งปีก่อนหน้านี้ “มีราชโองการเเม่ทัพใหญ่ สกุลหยาง นามหลู่เมิ้ง มีความชอบใหญ่หลวงต่อแผ่นดิน จึงประทานสมรสให้เเต่งกับ สตรีสกุลซื่อ นามหยาเหยา เป็นภรรยา จบราชโองการ!! ” หลู่เมิ้งโค้งคำนับรับราชโองการ….. ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ การเเต่งงานการเมืองเช่นนี้ผู้ใดจะพึงใจกัน!! . . คืนวันเเต่งงาน ภายในห้องหอหญิงสาวผู้ได้ชื่อว่างามล้ำซ้ำยังเป็นหยกล้ำค่าเเห่งจวนอัครเสนาบดี กำลังนั่งใบหน้าเเดงกล่ำมีเพียงพัดเป็นฉากกั้นกลางระหว่างนางกับบุรุษที่นางรักเเละหมายปอง สตรีเช่นนางหากเเต่งเข้าจวนอ๋องหรือวังไท่จื่อ เกรงว่าจะเหมาะสมกว่าด้วยซ้ำ เเต่นางหยาเหยา… รักบุรุษผู้นี้มาตั้งเเต่เเรกพบสบตา ใช้วิธีการต่างๆ นาๆ สุดท้ายให้บิดาผู้เป็นเอกอัครเสนาบดี ทูลต่อฮองเต้ ให้เเต่งนางเข้าจวนเเม่ทัพ หลู่เมิ้งในวัยยี่สิบเจ็ดปี.. มีรูปกายเป็นทรัพย์อันลำค่า บุรุษในวัยหนุ่มร่างกายกำยำ มากด้วยสติปัญญา ซ้ำยังมิเคยยุ่งเกี่ยวสตรี รอยยิ้มอันงดงามตราตรึงใจนางไว้ได้ “สมใจเจ้าเเล้วสินะ?? ” “ท่านพี่ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ” หร่งเหยาเอ่ยขึ้น ทั้งที่บุรุษผู้นั้นเพิ่งเปิดประตูเข้ามาเเท้ๆ กลับเอ่ยวาจาประหลาดนัก “ก็ที่เเต่งเข้าจวนข้าได้ คงสมใจเจ้าเเล้ว?? ” “เรื่องนั้น….” หยาเหยายิ้ม “ท่านพี่ ท่านจะไปไหนเจ้าคะ ยัง.. ยังไม่ได้….” “ราชโองการเพียงให้ข้าเเต่งเจ้าเข้าจวน.. มิได้บอกให้รักเจ้า ให้ดีต่อเจ้า หรือห้ามให้ข้าออกจากห้องหอไปเสพสุขกับสตรีนางอื่น” ‘ปั่ง!! ‘ เสียงประตูปิดดังลั่นจนร่างบางต้องสะท้านด้วยความตกใจ.. บุรุษผู้นี้ใช่บุรุษที่นางเฝ้ารัก ที่นางถนอมกายใจ ไว้มอบให้เขาจริงหรือ ใช่บุรุษที่มีรอยยิ้มงดงามที่นางพบวันนั้นใช่หรือไม่?? เหตุใดเขาจึงใจร้ายต่อนางนักหยาเหยา ผู้ไม่เคยถูกกระทำรุนเเรงต่อจิตใจเช่นนี้ถึงกับกลั่นน้ำตาไว้ไม่อยู่… …………… โรงเตี้ยมฟูหลัว “ท่านเเม่ทัพวันนี้เป็นคืนเข้าหอเเท้ๆ เหตุใดท่านจึงออกมาดื่มเหล้ากับพวกข้าเช่นนี้เล่า ฮูหยินมิเคืองท่านเเย่หรือ” “จะพูดถึงนางทำไมกัน” “อ่าว.. นางเป็นภรรยาท่าน?? ” “หึ… นางเพียงเเต่งเพื่อเสริมอำนาจให้บิดานางเพียงเท่านั้น อย่าได้สนใจเลย” “ท่านเเม่ทัพ เหตุใดท่านจึงคิดเช่นนั้น” “ให้ข้าคิดเป็นอื่นได้อย่างไรเล่า หน้าก็มิเคยพบ.. จะให้รักหรืออย่างไร?? ” สามวันต่อมา หลู่เมิ่งออกจากจวนไปสามวันพึ่งกลับ… กลับมาเขาคิดว่าหยาเหยามิพ้นต้องโกรธเป็นฟืนไฟ หากเเต่ตรงกันข้าม.. พอถึงจวนนางกลับยกอาหารยกน้ำชามาต้อนรับเขาด้วยสีหน้ายิ้มเเย้ม ใบหน้าของหญิงสามวัยเเรกเเย้ม….. งดงาม งดงามสมคำร่ำลือ กริยาอ่อนหวานอ่อนโยนน่าถนอมยิ่ง สายตาที่นางมองเขาราวกับกระต่ายน้อยเเสนเชื่อง “ท่านพี่ ท่านกลับมาเเล้ว ข้าทำอาหารไว้รอท่าน” “ไม่ต้องลำบากหรอก บ่าวไพร่ในจวนก็ออกมาก” “ไม่ลำบากเจ้าคะ เพื่อท่านพี่ น้องเต็มใจ” “ดี!! เช่นนั้น.. นับจากวันนี้ไปงานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวข้า ไม่ว่าจะเสื้อผ้า อาหารการกิน น้ำที่ข้าอาบ ให้เจ้าเป็นคนจัดการเองทั้งหมด” “เอ้?? ” “ทำไม.. ทำไม่ได้หรือ” “ได้.. ได้เจ้าคะ” หลังจากวันนั้นเสื้อผ้าทุกตัวของหลู่เมิ่งก็ต้องให้หยาเหยาเป็นคนจัดการซักเองกับมือ อาหารทุกอย่างก็เป็นหยาเหยาที่เป็นคนจัดเเจง น้ำที่เขาใช้อาบก็เป็นนางตระเตรียมให้ทุกเย็น.. นางคอยเติมน้ำปรับอุณหภูมิให้พอเหมาะเพื่อให้ หลู่เมิ้ง สุดที่รัก ดวงใจของนางพอใจ.. ลำบากเพียงใดนางมิเคยปนิปากบ่น สามเดือนผ่านไป หยาเหยาทำหน้าที่ทุกอย่างมิขาดตกบกพร่อง.. อีกฝ่ายกับคิดไปอีกทาง คิดว่านางทนทำเช่นนี้ก็เพราะเพื่ออำนาจของตระกูลนางจะได้มั่นคงเพียงเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset