ตอนที่ 73 ฉันเป็นคนนำทางให้นายได้
“เสี่ยวเยียน แม่จะไปดูคุณตาหน่อยนะ” เฮ่อมู่อวิ๋นกล่าวก่อนลุกขึ้นเดินไปทางห้องทำงาน ดวงตาของเธอแดงก่ำ
ลุงคนรองถอนหายใจแล้วออกจากห้องไปเช่นกัน สุดท้ายก็เหลือเพียงหลินเยียนและเฮ่อเล่อเฟิงที่ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง
หลินเยียนเรียกเฮ่อเล่อเฟิงมาคุยที่มุมห้อง “เสี่ยวเฟิง พี่มีเรื่องจะคุยด้วย…”
เฮ่อเล่อเฟิงรีบปลอบโยนเธอ “พี่ อย่าไปสนใจที่ลุงกับเฮียแกพูดเมื่อกี้เลยนะ…”
“ไม่ต้องห่วง พี่ไม่เป็นไรหรอก แค่อยากคุยกับนายเรื่องอื่นเฉยๆ พี่ได้ยินที่นายบอกว่าคนนำทางเพิ่งลาออกไป” หลินเยียนตัดบท
ในการแข่งขันรถ ทุกๆ ทีมต้องมีนักแข่งและคนนำทาง
คนนำทางคือผู้ที่เป็น ‘ตาของนักขับ’ ซึ่งจะประจำอยู่ ณ ตำแหน่งที่นั่งผู้โดยสารและคอยรายงานสถานการณ์ให้คนขับรู้
หลายๆ คนเข้าใจผิดว่าตำแหน่งคนนำทางนี้ไม่ค่อยมีความสำคัญเป็นเพราะการเสพสื่อที่มักพูดถึงแต่ตัวนักแข่งนั่นเอง
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว คนนำทางมากประสบการณ์สามารถวิเคราะห์สนามแข่ง มุมเลี้ยว ระยะทาง และความอันตรายของสนาม รวมไปถึงความเร็วลมและระดับความชื้นของพื้นผิวถนนได้อย่างแม่นยำ ดังนั้น หน้าที่ของคนนำทางคือการแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับความเร็วและตำแหน่งเกียร์ที่เหมาะสมให้นักขับรู้ ด้วยวิธีนี้ นักแข่งจะสามารถร่นเวลาในการวิเคราะห์เส้นทางและเร่งความเร็วได้
ดังนั้น คนนำทางที่ดีคือ ‘มันสมอง’ ที่ทรงพลังที่สุดในการแข่งรถ
เฮ่อเล่อเฟิงเกาศีรษะแกรกๆ อย่างเหนียมอาย “ครับ เขาหนีไปแล้ว…”
นักแข่งที่ไม่มีคนนำทางมักรู้สึกอับอายเหมือนเป็นชายที่ถูกภรรยาทิ้ง
เฮ่อเล่อเฟิงตอบอย่างหมดหนทาง “ผมมันไร้ประโยชน์เกินไป…”
“นายมีคนที่เหมาะกับตำแหน่งนี้บ้างหรือเปล่า” หลินเยียนถาม
เฮ่อเล่อเฟิงส่ายศีรษะ “คนนำทางสมัยนี้ไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่หรอกครับ จะให้หาคนดีๆ น่ะยากพอตัว อีกอย่าง เราดันไปมีเรื่องมีราวกับทีมของทังเจิ้นอิงซะแล้ว เขาคงขัดขวางเราแน่ๆ…”
หลินเยียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ถ้าหาคนนำทางดีๆ ไม่ได้จริงๆ เดี๋ยวพี่เป็นให้ก็ได้นะ”
เฮ่อเล่อเฟิงตกตะลึง “พี่เหรอ?”
เขาคิดว่าหลินเยียนไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการแข่งรถและไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าเธอจะเสนอตัวเป็นคนนำทางให้เขาอย่างกะทันหันเช่นนี้
เฮ่อเล่อเฟิงยิ้มก่อนพูดว่า “พี่ ผมรู้ว่าพี่พยายามจะช่วย แต่พี่คงเข้าใจผิดเรื่องคนนำทางไปหน่อยนะ คนนำทางไม่ได้มานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ให้คนขับฟัง แต่ต้องทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลของสนามแข่ง อากาศ แล้วก็สภาพรถ คือต้องเป็นคนที่มีประสบการณ์เทียบเท่ากับคนขับ ไม่ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้…”
เฮ่อเล่อเฟิงหยุดพูดครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจแรงๆ “อีกอย่าง คนนำทางต้องมีใบอนุญาตขับแข่งด้วย พี่เป็นไม่ได้หรอก…”
หลินเยียนไม่ได้อธิบาย เธอตอบสั้นๆ ว่า “พี่มีใบอนุญาต”
เฮ่อเล่อเฟิงประหลาดใจ “พี่มีได้ไง?”
หลินเยียนค่อยๆ ชี้แจง “ที่จริง คุณน้าคนเล็กเคยสอนพี่ขับรถแข่งแต่แม่พี่เป็นคนขี้กังวลมาก พี่เลยเก็บเรื่องที่คุณน้าแกสอนเป็นความลับ พี่ไม่ได้แข่งรถนานแล้ว ใบอนุญาตเลยเปลี่ยนไปอยู่ในหมวดหมู่ทั่วไป แต่แค่นี้ก็น่าจะพอสำหรับการเป็นคนนำทางนะ…”
เฮ่อเล่อเฟิงหัวเราะเบาๆ “โห ไม่อยากจะเชื่อว่าพี่เคยเป็นนักแข่งมาก่อน การได้ใบอนุญาตขับแข่งนี่ถือเป็นความสำเร็จของผู้หญิงเลยนะ!”
หลินเยียนตอบ “ถ้าอยากให้ช่วยก็บอกพี่นะ”
เฮ่อเล่อเฟิงพยักหน้าอย่างมีความสุข “โอเค! ขอบคุณนะพี่!”
…
ตอนที่ 74 เริ่มคิดถึงตัวเองได้แล้ว
หลินเยียนพาแม่กลับบ้านหลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันแล้ว
แรกเริ่มเดิมทีแล้ว แม่ของเธอดูตื่นเต้นดีใจที่ได้รับเชิญร่วมโต๊ะอาหารกับคุณตา แต่คงไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้ แม่จึงเงียบไม่พูดไม่จาและดูเศร้าซึมมากในระหว่างทางกลับบ้าน
หลินเยียนรู้ดีว่าแม่ยินดีแบกรับการกล่าวโทษและตราบาปทั้งหมดไว้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา และนั่นทำให้สุขภาพของแม่ทรุดโทรม
หากอะไรๆ ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เธอกลัวว่าสุขภาพกายและใจของแม่อาจจะแย่ลงไปอีก
เธอลองหันเหความสนใจของแม่มาแล้วหลายต่อหลายวิธี แต่แม่จมอยู่ในบ่อแห่งความทุกข์ลึกเกินไป
เมื่อครั้งที่แม่กับพ่อหย่ากัน ผู้พิพากษาตัดสินให้แม่ได้รับค่าเลี้ยงดูและบ้านหนึ่งหลัง
แต่ลุงคนโตมักจะก่อปัญหาอยู่เสมอ อย่างวันหนึ่งที่เขาเมาอาละวาดจนถูกลูกคนรวยฟ้องร้องเป็นคดีความใหญ่โตและเกือบจะต้องเข้าคุก
เหตุการณ์นั้นทำให้เฮ่อมู่อวิ๋นต้องขอร้องให้หลินเยว่ทงช่วยประกันตัวลุงเฮ่อสยงโดยยอมแลกกับค่าเลี้ยงดู
หลักประกันที่ว่านั้นรวมถึงบ้านหลังใหญ่ในเมืองหลวงที่หลินเยว่ทงต้องให้อดีตภรรยาเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ แม่ของหลินเยียนจึงจำต้องมาอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กซอมซ่อที่เขตชานเมืองแทน
ทว่าลุงเฮ่อสยงไม่ได้แสดงความขอบคุณใดๆ ต่อสิ่งที่แม่ทำให้ ซ้ำร้ายยังนำเรื่องที่ถูกฟ้องร้องมาระบายที่แม่อีกด้วย
เมื่อสองแม่ลูกมาถึงที่หมายแล้ว หลินเยียนก็กอดแม่แน่นแล้วปลอบโยนเธอ
“แม่ อย่าไปสนใจที่พวกนั้นพูดเลย อย่าเอาความผิดพลาดของพวกนั้นมาโทษตัวเอง แม่ทำทุกอย่างเท่าที่แม่ทำได้แล้ว แม่ไม่ได้ติดหนี้บุญคุณอะไรหนู และหนูโตแล้ว หนูดูแลตัวเองได้นะ ส่วนซูหย่าเองก็มีพ่ออยู่ สองคนนั้นเขามีชีวิตที่ดี แม่ไม่ต้องห่วงอะไรเลย…”
หลินเยียนเงียบไปครู่หนึ่งก่อนพยายามเกลี้ยกล่อม “แม่ควรจะคิดถึงตัวเองนะ เรื่องหย่ากันนั่นก็แค่ชีวิตคู่ที่ล้มเหลว แม่ยังสาวอยู่แท้ๆ แต่คิดจะใช้ชีวิตแบบนี้ไปตลอดกาลเหรอ”
หลินเยียนมักปลอบโยนแม่เป็นปกติอยู่แล้วแม้รู้ว่าผลลัพธ์จะไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไรนัก
เพราะแม่มักเก็บซ่อนตัวเองไว้ใต้ความรู้สึกผิด แม่ต้องการเพียงชดใช้ ‘บาป’ เท่านั้น และแม่ไม่เคยคิดถึงตัวเองก่อนคนอื่น
คุณหนูที่เคยถูกประคบประหงมและแสนเย่อหยิ่งจากตระกูลที่ร่ำรวย บัดนี้ เธอถูกความยากลำบากและความจริงหล่อหลอมจนกลายเป็นเพียงเปลือกที่ไร้วิญญาณ
“เสี่ยวเยียน ไม่ต้องห่วงแม่ แม่สบายดี ผ่านมาตั้งหลายปี แม่ชินแล้วล่ะ คำดูถูกพวกนั้นไม่ทำให้แม่เสียใจหรอก อีกอย่าง ลุงของลูกพูดถูกแล้ว…แม่ผิดเอง…”
หลินเยียนถอนหายใจ เป็นอย่างที่เธอคาดไว้ไม่มีผิด…
เธอรู้สึกสลดใจขณะฟังที่แม่พูด แต่ในขณะที่เธอกำลังจะพูดบางอย่างนั้นเอง เธอก็สังเกตเห็นรถสีเทาอมฟ้าคันหนึ่งที่ชั้นล่าง รถคันนี้ดูคุ้นตา
ชายวัยกลางคนในชุดสูทก้าวออกมาจากรถ
หลินเยียนจำเขาได้ในทันทีเมื่อเห็นเขาเดินผ่านเสาไฟ “คุณน้าเซี่ย?”
“เสี่ยวเยียน…” ชายวัยกลางคนเร่งฝีเท้าและทักทายเธอ เขามองเฮ่อมู่อวิ๋นอย่างระแวดระวัง เสียงของเขาเองก็อ่อนโยนลงเช่นกัน “มู่อวิ๋น กลับมาแล้วเหรอ…”
หลินเยียนยิ้มให้เขา “คุณน้าเซี่ย ทำไมมาดึกจังเลยคะ”
ชายคนนี้ชื่อเชี่ยเจิง เป็นประธานบริษัทเซี่ย คอร์เปอเรชั่นและเป็นเพื่อนร่วมชั้นสมัยที่แม่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย แม้ทั้งคู่มีอายุไล่เลี่ยกันแต่คุณน้ายังดูอ่อนกว่าวัยเพราะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี เพียงแค่มองก็รู้แล้วว่าชายคนนี้น่าจะเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ ในโรงเรียนเมื่อครั้งยังหนุ่ม และด้วยความร่ำรวยบวกกับสถานะทางสังคม เขาจึงสามารถดึงดูดเด็กสาวน่ารักๆ ได้มากมายแม้ว่าอายุอานามจะอยู่ในวัยนี้แล้วก็ตาม