ถึงแม้ถังหนิงจะอยากรู้ว่าใครคือนักแสดงบทพระเอก แต่เธอก็ไม่แสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้า เธอรู้ดีว่าเมื่อถึงเวลาที่เธอจะต้องเข้าฉากร่วมกัน เธอก็จะได้พบกับคนคนนั้นเอง ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
เป็นเพราะถังหนิงไม่มีผู้จัดการหรือผู้ช่วยคอยอยู่เคียงข้าง บรรดาทีมงานจึงคอยดูแลเอาใจใส่เธอเป็นอย่างดี ที่จริงแล้วยังมีทีมงานบางคนที่ไม่ค่อยเข้าใจว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
“ดูหนูสิ ออกจะดังขนาดนี้แถมยังอยากได้อะไรก็หาได้แท้ๆ ทำไมถึงไม่หาผู้ช่วยมาสักคนหนึ่งล่ะ พวกดาราดังคนอื่นเขายังมีผู้ช่วยกันตั้งสองคนแถมยังมีบอดีการ์ดอีกตั้งสี่คนคอยอยู่ข้างๆ ใครๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้น แต่หนูกลับยังทำอะไรต่อมิอะไรเองอยู่แบบนี้”
คุณป้าซึ่งเป็นคนนำอาหารมาส่งที่กองถ่ายสังเกตเห็นว่าไม่เคยมีใครมาคอยรับอาหารให้ถังหนิงเลยสักครั้ง ดังนั้นเธอจึงเป็นคนนำอาหารเหล่านั้นมาให้ถังหนิงด้วยตัวเอง
ขณะที่ถังหนิงกำลังทานอาหารเหล่านั้น เธอก็รู้สึกอบอุ่นใจเป็นอย่างมาก
“ฉันคิดว่าฉันดูแลตัวเองได้ค่ะ ฉันไม่มีอะไรที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ คุณป้าเป็นคนใจดีจังเลยนะคะ”
“เฮ้อ ทุกวันนี้หาคนแบบหนูได้ยากขึ้นทุกที เอ้า กินอีกสิ”
ไม่ใช่ว่าถังหนิงไม่จำเป็นต้องมีผู้ช่วย แต่เพราะเหตุการณ์ของซ่งซินทำให้เธอไม่คิดว่าการมีผู้ช่วยเป็นสิ่งจำเป็นอีกต่อไป โดยเฉพาะหลังจากการคลอดลูกแฝด เธอไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ต้องการการดูแลอะไรเป็นพิเศษอีกแล้ว
ถังหนิงยิ้มและน้อมรับความใจดีของคุณป้าคนนั้น แต่ชั่วขณะหนึ่งหลังจากนั้น เสียงกรีดร้องด้วยความประหลาดใจก็ดังขึ้นจากภายในกองถ่าย “ฉันได้ยินว่าพระเอกมาที่กองถ่ายแล้ว! เขาอยู่ที่นี่!”
“เธอเห็นหรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร”
“ฉันแค่ได้ยินมา ไม่ใช่ว่าเราจะได้เห็นเขาตอนบ่ายนี้นะ”
แน่นอนเพราะบ่ายวันนั้นถังหนิงและนักแสดงคนนั้นจะต้องเข้าฉากร่วมกัน ถังหนิงไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ยอมมาปรากฏตัว
“แม่เจ้า ฉันรอไม่ไหวแล้วนะ!”
หลังมื้อกลางวัน ถังหนิงนั่งอ่านบทอยู่ภายในกองถ่าย ฉากในบ่ายวันนั้นค่อนข้างมีความสำคัญ อันดับแรกเธอจะต้องเข้าฉากกับพระรองก่อน หลังจากนั้นเธอจึงจะเข้าฉากกับพระเอกซึ่งเกือบจะส่งผลให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ต้องร้าวฉาน ดังนั้นเธอจึงจำเป็นต้องทุ่มเทเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์
ฉากนี้ยังเป็นฉากแรกระหว่างเธอกับหวงฝู่ซั่วอีกด้วย ที่จริงถังหนิงรู้สึกค่อนข้างตื่นเต้น แม้หวงฝู่ซั่วมักจะแหกคอกอยู่เสมอ แต่ความสามารถในการแสดงของเขาก็ไม่อาจละเลยได้
ดังนั้นหลังจากนั้นไม่นาน ถังหนิงและหวงฝู่ซั่วได้เริ่มถ่ายทำฉากร่วมกัน
ตัวละครของหวงฝู่ซั่วเป็นคนที่อยู่ข้างนางเอกเสมอ ในขณะที่ทุกคนคิดกันว่าเขาเป็นขันที แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นองค์ชายของอีกแคว้นหนึ่งซึ่งปลอมตัวมาอยู่เคียงข้างนางเอกอยู่นานหลายปี ความรู้สึกที่ชายผู้นี้มีต่อนางเอกนั้นซับซ้อนและผันแปรไปเรื่อยๆ แต่แน่นอนว่าเขามักจะแสดงออกด้วยท่าทีร่าเริงต่อหน้าทุกคนอยู่เสมอ
ด้วยความที่ตัวละครตัวนี้มีบุคลิกที่คล้ายคลึงกับชีวิตจริงของหวงฝู่ซั่ว เขาจึงรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมากและการตอบโต้ระหว่างเขากับถังหนิงเป็นไปอย่างสนุกสนาน นักแสดงทั้งสองแสดงพลาดเพียงแค่สองครั้งก่อนที่จะสามารถแสดงฉากนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากนั้นก็ถึงเวลาของฉากระหว่างถังหนิงกับพระเอก หลังจากได้ยินว่าพระเอกได้เดินทางมาถึงกองถ่ายแล้ว หวงฝู่ซั่วก็พูดหยอกล้อออกมาเป็นแบบหน้าไม่อาย “ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายังมีนักแสดงคนอื่นที่แสดงได้เก่งกว่าแถมยังหล่อกว่าผมอีก”
แต่ในขณะนั้นเอง…
…เงาดำปรากฏออกมาจากห้องแต่งตัว เขาทั้งสูงและหาที่เปรียบไม่ได้!
“คุณพระ!”
“ดูสิ ดูนั่น!”
“พระเจ้าช่วย…”
ทุกคนที่มองไปยังโม่ถิงทำได้เพียงตื่นเต้นจนแทบเสียอาการ
ณ อีกด้านหนึ่งของกองถ่าย หวงฝู่ซั่วกำลังพูดคุยอย่างเฮฮาและทำให้ทุกคนยิ้มและหัวเราะ แต่อีกด้านหนึ่ง ทุกคนที่มองเห็นโม่ถิงเดินผ่านไปต่างรู้สึกว่าสติของตัวเองกำลังจะแตกด้วยความอึ้ง
“ผมน่ะเป็นคนที่หล่อที่สุดแล้วนะ ผมไม่เชื่อหรอกว่าพระเอกคนนั้นจะดูดีกว่าผม!”
ในขณะนั้น โม่ถิงได้ปรากฏตัวขึ้นจากด้านหลังของเขา
ชายทั้งสองมีส่วนสูงที่แตกต่างกันอย่างมาก เมื่อทุกคนมองดูชายทั้งคู่ พวกเขาต่างก็พากันเอามือปิดปากด้วยความช็อก ขณะเดียวกันถังหนิงเองก็อึ้งจนถึงขนาดโยนบทของเธอลงข้างๆ แม้เธอจะเคยเดาไว้ว่านักแสดงบทพระเอกจะเป็นโม่ถิง เธอก็ไม่เคยเห็นเขาในชุดแบบนี้มาก่อน
เขาเกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์ราวราชาจริงๆ จากที่เห็น หวงฝู่ซั่วดูกลายเป็นตัวประกอบไปเลย
“นี่… นี่ฉันตาฝาดหรือเปล่า นั่นมันท่านประธานโม่ไม่ใช่เหรอ”
ทีมงานซึ่งยืนอยู่ข้างถังหนิงเขย่าแขนของเธอและถาม “นั่นเขาตัวเป็นๆ ใช่ไหมคะ”
“ใช่” ถังหนิงตั้งสติและพยักหน้าให้ทีมงานคนนั้น
“ฉันไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนใส่ชุดย้อนยุคแล้วดูดีขนาดนี้เลย ฉันโชคดีจริงๆ ฉันจะเป็นลมอยู่แล้ว”
“โอย! ท่านประธานโม่มาทำงานกับภรรยาของตัวเอง!”
“นี่แหละจวินอี้หลานที่แท้จริง ไม่มีใครเหมาะสมกับบทนี้มากไปกว่าประธานโม่อีกแล้ว”
ขณะที่ทุกคนกำลังสติแตก หวงฝู่ซั่วหันเตรียมจะถอยร่นแต่เขาถูกโม่ถิงซึ่งยืนอยู่ด้านหลังข่มขวัญ หวงฝู่ซั่วไม่อาจปฏิเสธได้ว่าโม่ถิงคือจักรพรรดิ จักรพรรดิผู้ชิงชังโลกใบนี้ยิ่งกว่าใคร จวินอี้หลาน
“ไม่น่าเชื่อ ถังหนิง นี่คุณรู้เรื่องนี้อยู่แล้วใช่ไหมคะ”
“ฉันก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้พร้อมกับทุกคนนี่แหละ” ถังหนิงตอบทีมงานคนนั้น
“เช่นนั้น เสด็จแม่พึงพอใจกับผลที่ออกมาหรือไม่” โม่ถิงถามด้วยภาษาเช่นเดียวกับตัวละครในบทของเขา
“ฉันพยายามลองเชิงคุณตั้งนานแต่คุณกลับไม่ยอมปริปาก คุณทำทั้งหมดก็เพื่อตอนนี้งั้นเหรอคะ” ถังหนิงอดไม่ได้ที่จะจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง “ต่อให้คุณบอก คุณก็ยังทำให้ฉันประหลาดใจอยู่ดีนั่นแหละ เพราะฉันไม่เคยนึกว่าคุณจะดูเจิดจรัสในชุดพวกนี้ขนาดนี้”
“ทุกคนคิดว่าไง ท่านประธานโม่อาจจะดูเจิดจ้า แต่การแสดงของเขาล่ะ เรารู้แค่ว่าเขาสามารถสร้างบทละครได้ แต่เขาแสดงละครไม่ได้ไม่ใช่เหรอ”
“ฉันไม่สนหรอกว่าเขาแสดงได้หรือเปล่า ตราบใดที่เขามาแสดง ต่อให้เขาแค่ยืนอยู่เฉยๆ แล้วไม่พูดอะไรเลยฉันก็ยังฟิน”
บรรดาทีมงานต่างพากันออกความเห็น ในขณะเดียวกัน หวงฝู่ซั่วพยายามแสดงตัวตนของตัวเองในฐานะผู้ที่มีอายุมากกว่าด้วยการพูดกับโม่ถิง “หลังจากคุณใส่ชุดพวกนั้นแล้วก็ถือว่าผมกับคุณเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ผมไม่คิดว่าคุณเป็นนายใหญ่ของพวกแก๊งอันธพาลหรอกนะ จริงไหม แล้วก็ไม่คิดด้วยว่าคุณเคยมีประสบการณ์ในการแสดงมาก่อน… ในเมื่อคุณไม่มีประสบการณ์อะไร อยากให้ผมช่วยสอนให้ไหมล่ะ”
โม่ถิงอยู่ในชุดคลุมสีดำสนิท เขาดูน่าประทับใจและไม่เหมือนกับคนสามัญธรรมดาทั่วไป แต่ทุกคนต่างกังวลเรื่องความสามารถในการแสดงของเขา
แม้เขาจะเป็นประธานของไห่รุ่ยและเป็นผู้ลงทุนซึ่งอยู่เบื้องหลังละครเรื่องนี้ก็ตาม…
… นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะแสดงได้
หากการแสดงของเขาออกมาแย่ พวกเขาจะทำอย่างไร
โม่ถิงก้มหัวลงเล็กน้อยและเอ่ยถามหวงฝู่ซั่ว “คุณคิดจะสอนผมยังไงล่ะ”
ถังหนิงหัวเราะคิกคักกับสิ่งที่เห็น หลังจากนั้นเธอก้มหน้าลงจดต่อกับบทของตัวเองอีกครั้ง เพราะฉากที่กำลังจะถ่ายทำต่อจากนี้ค่อนข้างสำคัญทีเดียว
ขันทีซึ่งรับบทโดยหวงฝู่ซั่วถูกจวินอี้หลานล่วงรู้ความจริง ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งเปลี่ยนขันทีผู้ช่วยของเธอโดยไม่ปรึกษาชิงหลานก่อน แม้ถังหนิงจะรู้จุดประสงค์ที่ซ่อนอยู่ของขันทีผู้นั้น เธอก็ไม่ชอบวิธีการของจวินอี้หลาน เพราะถึงอย่างไรเธอก็มีศักดิ์เป็นมารดาของเขา
ส่งผลให้ทั้งคู่มีปากเสียงกันครั้งใหญ่ ในตอนแรกนั้นจวินอี้หลานเคารพชิงหลานเพราะนางเป็น ‘มารดา’ เขา ทว่าเพราะความตึงเครียดและความโกรธเกรี้ยว เขาจึงคว้าเข้าที่ลำคอของชิงหลานและถามว่านางยังมีจิตใจอยู่หรือไม่
ฉากนี้ต้องใช้การระเบิดพลังและอารมณ์อย่างสูง…
ต่อให้เป็นนักแสดงอย่างหวงฝู่ซั่วก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะแสดงฉากนี้ให้ออกมาสมบูรณ์ อย่าว่าแต่คนอย่างโม่ถิงเลย
โม่ถิงนั้นดูราวกับสิ่งลี้ลับ เขาไม่รู้อะไรเลยแต่เขาก็ยังเลือกที่จะเล่นเป็นพระเอก
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผู้กำกับเฉินเห็นชอบกับเรื่องนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ
นี่เขาอยากเอาชนะคู่แข่งมากจนเสียสติไปแล้วหรือไง ถ้าพวกเขาไม่สามารถหานักแสดงนำชายได้ก็ควรจะยกบทนี้ให้หวงฝู่ซั่วสิ จำเป็นต้องใช้คนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยด้วยหรือ