วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ – ตอนที่ 784 เธอเสียสละเพื่อผมมามากพอแล้ว

ไป๋ลี่หวาตรวจดูร่างกายของกั่วกั่ว เพราะภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ เขาจึงบอบบางกว่าถังถังมาก ตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ แต่ความแตกต่างนี้จะชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อเด็กชายทั้งสองเติบโตขึ้น และเพราะความต่างนี้ เด็กชายทั้งสองนั้นจึงถูกลิขิตให้เดินบนเส้นทางที่แตกต่างกันเป็นอย่างยิ่ง

 

 

ก่อนพิธีมอบรางวัลเฟยเทียนจะจัดขึ้น ถังหนิงเริ่มถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘ผู้รอดชีพ’ อย่างเป็นทางการแล้ว ช่วงก่อนหน้านี้กั่วกั่วไม่ได้ป่วยหนักมาก เขาเพียงเป็นหวัดและมีไข้เท่านั้น แต่ในบ่ายวันหนึ่ง ไป๋ลี่หวาเริ่มรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติ ดังนั้นเธอจึงโทรหาโม่ถิงที่กำลังทำงานอยู่ทันที

 

 

“เราต้องส่งกั่วกั่วเข้าโรงพยาบาลแล้วล่ะ มีบางอย่างไม่ปกติ”

 

 

โม่ถิงทิ้งทุกสิ่งแล้วรีบกลับบ้านทันที ชายหนุ่มยังสั่งให้ลู่เช่อติดต่อผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่ฝีมือที่สุดมาอีกด้วย

 

 

หลังจากไปถึงโรงพยาบาล กั่วกั่วก็เข้ารับการตรวจทันที ในตอนท้าย ผลการตรวจยืนยันว่าปอดของกั่วกั่วนั้นไม่เติบโตอย่างเหมาะสมและจำเป็นต้องได้รับการรักษาระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้น เขายังจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างเป็นพิเศษ ปัญหาเรื่องปอดถือเป็นเรื่องใหญ่มาก หากพวกเขาไม่ระมัดระวัง เด็กชายคนนี้สามารถตายในตอนที่อายุยังน้อยได้!

 

 

“คุณโม่คะ คุณสามารถติดต่อถานซูหลิงกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของเราได้เลยค่ะ เธอเชี่ยวชาญในการรักษาเด็ก แต่โชคไม่ดีนักที่ตอนนี้เธออยู่ที่ต่างประเทศและจะกลับมาในอีกสองสามวัน”

 

 

โม่ถิงมองไปยังกั่วกั่วผู้เพิ่งผล็อยหลับไปหลังจากผ่านความยากลำบากมาด้วยความเศร้าสร้อย

 

 

ไป๋ลี่หวาตอบคำถามของหัวหน้าพยาบาลอยู่สองสามข้อก่อนจะเอ่ยถามโม่ถิงว่า “เราควรบอกลูกหนิงไหม”

 

 

“ผมจะบอกเธอด้วยตัวเองหลังจากที่ ‘ผู้รอดชีพ’ ถ่ายทำเสร็จครับ” โม่ถิงตอบ เขารู้ว่าหากเขาบอกถังหนิงตอนนี้ เธอจะทิ้งทุกอย่างและกลับมาบ้านเพื่อดูแลกั่วกั่ว

 

 

“ดีจ้ะ” ไป๋ลี่หวาพยักหน้า “รอจนกว่าหมอจะรายงานอาการล่าสุดของกั่วกั่วแล้วรอให้เขาอาการคงที่ขึ้นอีกหน่อยก็แล้วกัน”

 

 

ครั้งนี้กั่วกั่วมีไข้อยู่ร่วมสองวัน ตอนนั้นเองที่คุณถานซูหลิงยอดฝีมือกลับมาถึงประเทศจีนในที่สุด หลังจากได้ยินเรื่องอาการของกั่วกั่ว เธอก็ตรงดิ่งไปที่โรงพยาบาลทันทีทั้งที่ยังไม่ได้เอาเสื้อผ้าออกจากกระเป๋า

 

 

หมอคนนี้อายุเพียงยี่สิบแปดปีเท่านั้น แต่เธอได้ปรากฏตัวบนปกนิตยสารทางการแพทย์อยู่บ่อยๆ และชนะรางวัลมาแล้วมากมาย

 

 

ถานซูหลิงชอบเด็กๆ ดังนั้นเธอจึงเลือกเรียนเอกกุมารแพทย์ช่วงที่ศึกษาอยู่ที่ประเทศอเมริกา หลังจากกลับมาที่ประเทศจีน หญิงสาวก็จดจ่ออยู่กับการค้นคว้าเรื่องความผิดปกติของเด็กที่พบได้ยาก

 

 

“อาการของกั่วกั่วไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เห็น แต่เขาต้องมาตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเป็นประจำค่ะ”

 

 

“เข้าใจแล้วค่ะ คุณถานซูหลิง” ไป๋ลี่หวาตอบ

 

 

“แม่ของเด็กอยู่ที่ไหนเหรอคะ” ซูหลิงหันมาถามไป๋ลี่หวา

 

 

“ลูกหนิงยังไม่รู้เรื่องนี้ค่ะ…”

 

 

แม้ซูหลิงจะไม่ได้สนใจข่าวบันเทิงเท่าไหร่ แต่เธอก็ยังเคยได้ยินเรื่องซุบซิบของถังหนิงมาบ้าง ดังนั้นหญิงสาวจึงพยักหน้า “ฉันรู้ว่าสาธารณชนจับตามองทั้งครอบครัวของคุณอยู่ แต่ฉันขอแนะนำให้แม่เด็กเป็นคนพาเขามาที่นี่ในครั้งต่อไปนะคะ”

 

 

“ตกลงค่ะ” ไป๋ลี่หวาพยักหน้า

 

 

หลังจากนั้น โม่ถิงก็อุ้มกั่วกั่วออกจากโรงพยาบาล แน่นอนว่ามีไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้

 

 

“สาวๆ ลูกครึ่งนี่หน้าตาสะสวยจริงๆ” แม้ไป๋ลี่หวาจะรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องเช่นนี้ แต่เธอก็อดถอนหายใจไม่ได้หลังจากที่เห็นใบหน้าของซูหลิง “เธอเป็นถึงหมอเลยนะ ไม่เลวเลย ถ้าแม่มีลูกชายอีกคน แม่คงบอกให้จีบเธอแล้วล่ะ”

 

 

โม่ถิงไม่ตอบพลางกอดกั่วกั่วที่กำลังหลับใหล ไม่มีใครรู้ได้ว่าหัวหน้าครอบครัวคนนี้กำลังคิดเรื่องอะไรอยู่

 

 

ไป๋ลี่หวาเดาอย่างคร่าวๆ ว่าชายหนุ่มกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “แม่รู้ว่าลูกกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ ลูกกลัวว่าลูกหนิงจะเป็นกังวลและเลิกใช้ชีวิตในแบบของเธอเพราะกั่วกั่วใช่ไหม”

 

 

“ผมไม่ได้แค่กังวลหรอกครับ ผมรู้ว่าเธอจะทำแบบนั้นอย่างแน่นอน”

 

 

“แต่ลูกก็ไม่ควรเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับจากลูกหนิงนานเกินไปนะ เธอเป็นแม่ของกั่วกั่ว คนเป็นแม่จะถูกห้ามไม่ให้รู้เรื่องลูกของตัวเองได้ยังไง อีกอย่าง ลูกหนิงเป็นคนช่างสังเกตมาก ทันทีที่เธอกลับมาบ้าน เธอจะรู้ได้อย่างแน่นอนว่ามีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับกั่วกั่ว”

 

 

“หลังจากที่เธอถ่ายภาพยนตร์เสร็จเรียบร้อย ผมจะบอกเธออย่างแน่นอนครับ

 

 

“เธอเสียสละเพื่อผมมามากพอแล้ว”

 

 

อย่างไรก็ตาม คนเป็นแม่และลูกของเธอนั้นมีสายสัมพันธ์ตามธรรมชาติอยู่ คืนนั้นถังหนิงโทรกลับมาถามถึงลูกๆ ของเธอและถามอย่างเฉพาะเจาะจงว่ากั่วกั่วมีไข้อีกหรือไม่

 

 

โม่ถิงตอบไปอย่างซื่อสัตย์ว่ากั่วกั่วไม่สบายเล็กน้อย แต่ตอนนี้กำลังอาการดีขึ้น

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถังหนิงก็เงียบไปชั่วขณะ และทันทีที่เช้าวันถัดมามาถึง หญิงสาวก็ขอตัวกลับบ้าน หลังจากที่ได้เห็นว่าลูกชายทั้งสองของเธอแข็งแรงและร่าเริงดี หญิงสาวจึงผ่อนคลายลงมาเล็กน้อย

 

 

โม่ถิงเข้าสวมกอดถังหนิงจากด้านหลัง เขาเอาคางเกยไหล่ของเธอแล้วเอ่ยถามว่า “ทำไมจู่ๆ ถึงกลับบ้านล่ะครับ”

 

 

“ฉันฝันว่ากั่วกั่วมีไข้ ก็เลยกลับมาดูเขาให้สบายใจน่ะค่ะ” ถังหนิงตอบอย่างอ่อนโยน “อีกอย่าง ช่วงนี้ฉันมีฉากที่ต้องแสดงไม่เยอะเท่าไหร่ หลังจากนี้เราจะย้ายกองไปอยู่บนภูเขา ฉันจะลงมาเจอทุกคนได้ยากขึ้นถึงจะอยากมามากแค่ไหนก็ตาม”

 

 

“โธ่ คุณภรรยา”

 

 

โม่ถิงตระหนักดีว่าถังหนิงรักลูกๆ ทั้งสองของพวกเขาแค่ไหน

 

 

“ถิงคะ ส่งคลิปของเด็กๆ มาให้ฉันทุกวันนะคะ ฉันต้องคิดถึงพวกเขามากแน่ๆ”

 

 

“ผมพาเด็กๆ ไปเฝ้าคุณที่ทำงานได้เสมอเลยนะครับ!”

 

 

“บ้าหรือเปล่าคะ ที่กองถ่ายสภาพอากาศแย่มาก ฉันไม่อยากให้คุณกับเด็กๆ ต้องไปทรมาน อีกอย่าง ทุกคนที่กองถ่ายจะหัวเราะเยาะฉันด้วย” ถังหนิงหัวเราะคิกคัก “อย่าห่วงเลยค่ะ น่าจะถ่ายทำอีกไม่นาน ทันทีที่ฉันมีเวลา ฉันจะกลับมาบ้านค่ะ”

 

 

โม่ถิงไม่พูดอะไร เขาเพียงแต่กอดถังหนิงให้แน่นขึ้น

 

 

มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าชายหนุ่มอยากเจอเธอแค่ไหน

 

 

เพราะในฐานะพ่อ เขาเองก็มีความกลัวเช่นกัน

 

 

และถังหนิงดูเหมือนจะสัมผัสความกลัวนั้นได้ ดังนั้นเธอจึงกลับมาบ้านและปรากฏตัวตรงหน้าเข้าในเวลาที่เขาคิดถึงเธอมากที่สุด

 

 

“จดจ่อกับการถ่ายทำของคุณเถอะครับ พิธีมอบรางวัลเฟยเทียนใกล้เข้ามาแล้ว แต่ไห่รุ่ยจะจัดการทุกอย่างเอง ไม่ต้องห่วงครับ”

 

 

ปีที่ผ่านมา ถังหนิงเพิ่งกลับบ้านไปพร้อมกับรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และในปีนี้ เธอก็ตั้งใจจะคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมมาครอง

 

 

ด้วยความที่ถังหนิงมีฝีมือในการแสดงและมีภาพยนตร์ดีๆ อยู่มากมาย โม่ถิงจึงเชื่อว่ารางวัลนั้นตกมาอยู่ในมือของถังหนิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

“คุณพ่อถิง วันนี้คุณดูแปลกไปนิดๆ นะคะ”

 

 

โม่ถิงไม่ตอบอะไรแล้วประกบปากจูบหญิงสาว

 

 

แม้ถังหนิงจะดูเหมือนเชื่อคำพูดของโม่ถิงที่บอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ หญิงสาวก็ยังโทรหาลู่เช่อเมื่อกลับถึงกองถ่ายแล้วเพื่อดูว่าเธอจะสามารถล้วงข้อมูลอะไรจากเขาได้ไหม แต่แน่นอนว่าโม่ถิงรู้วิธีการเก็บความลับ ดังนั้นแม้แต่ลู่เช่อเองก็ไม่รู้เรื่องอาการป่วยของกั่วกั่ว

 

 

ไม่นานนัก ถังหนิงก็ย้ายไปกองถ่ายใหม่ที่อยู่ในหุบเขา ระหว่างนั้นเองที่ พิธีมอบรางวัลเฟยเทียนประกาศรายชื่อผู้เข้าชิงประจำปี

 

 

ชื่อของถังหนิงอยู่ท่ามกลางรายชื่อผู้เข้าชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมตามที่คาดเอาไว้ แต่ในตอนนั้นเองที่กั่วกั่วล้มป่วยอีกครั้ง

 

 

“คุณถังหนิงไม่มาอีกแล้วเหรอคะ” ซูหลิงสังเกตเห็นว่านี่เป็นอีกครั้งโม่ถิงมาที่โรงพยาบาลคนเดียว ดังนั้นเธอจึงเริ่มมีความประทับใจที่ไม่ดีต่อถังหนิง “ไม่ว่าภาพยนตร์ของเธอจะสำคัญแค่ไหน ก็ไม่มีทางสำคัญไปกว่าลูกของเธอเองหรอกนะคะ”

 

 

โม่ถิงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น

 

 

ในครั้งนี้ เขาจะถือว่ามันคือความกังวลของหมอที่มีต่อคนไข้ แต่ถ้าผู้หญิงคนนี้กล้าพูดอะไรเกี่ยวกับถังหนิงอีก เขาจะไม่อยู่เงียบๆ แน่

 

 

“อาการไข้ของเขาแย่ลงและระบบภูมิคุ้มกันของเขาก็อ่อนแอลงยิ่งกว่าเดิมเสียอีก จากนี้ไปคุณไม่สามารถพาเขาออกไปข้างนอกได้แล้วนะคะ แล้วก็ระวังไม่ให้เขาตากลมนานเกินไปด้วย” ซูหลิงไม่ได้รับคำตอบจากโม่ถิง ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนประเด็น

 

 

แต่หลังจากที่โม่ถิงจากไป คุณหมอสาวก็เริ่มคุยกับผู้ช่วยของเธอว่า “ผู้ชายในวงการบันเทิงที่เป็นห่วงเป็นใยครอบครัวและลูกของตัวเองนี่หาดูได้ยากนะ แย่หน่อยที่ถังหนิงไม่ใช่แม่ที่ดี เธอใช้เวลาทั้งวันไปกับการพยายามเอาใจผู้ชมแต่กลับไม่เจียดพลังมาดูแลลูกของตัวเองสักนิดเลย”

วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์

วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์

ถังหนิง ผู้กำลังจะก้าวขึ้นไปเป็นนางแบบแนวหน้า แต่เพราะรักจึงสละสิ้นทุกอย่าง ทว่าคืนก่อนวันวิวาห์ที่เธอกำลังจะได้ครองรักดั่งหวังนั่นเอง คู่หมั้นของเธอกลับหนีออกไปกับหญิงอื่น ด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ เธอจึงเดินจ้ำไปหาผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าสำนักงานเขต “ประธานโม่คะ ในเมื่อเจ้าสาวของคุณยังไม่มาและเจ้าบ่าวของฉันก็หนีไปแล้วอย่างนี้… ฉันว่า… เรามาแต่งงานกันเสียเลยดีไหมคะ” … ก่อนแต่งงานเธอเอ่ยว่า “แม้เราจะนอนร่วมเตียงกัน แต่จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรา” หลังแต่งงานเขาเอ่ยว่า “ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้หรือ”

Options

not work with dark mode
Reset