การแข่งขันแย่งชิงรางวัลเฟยเทียนในทุกๆ ปีนั้นดุเดือดเป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับปีนี้ ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงการแสดงและยอดขายตั๋วภาพยนตร์ของถังหนิงได้เลย
ไม่ว่าจะเป็น ‘คนรักที่สาบสูญ’ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ หรือ ‘ผู้รอดชีพ’ ที่กำลังถ่ายทำอยู่ สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนก็คือ ไม่ว่าถังหนิงจะไปปรากฏตัวในกองถ่ายทำไหน ภาพยนตร์เรื่องนั้นก็ได้รับการการันตีแล้วว่ามันจะเป็นภาพยนตร์ชิ้นเอก
ท่ามกลางผลงานทั้งหมด ‘หวงเฟยยอดสตรี’ นั้นน่าถือว่าประหลาดใจที่สุดเพราะโม่ถิงเป็นนักแสดงนำชาย มันทำให้ทุกคนได้เห็นอีกด้านหนึ่งของโม่ถิง โม่ถิงผู้ที่สามารถทำอะไรก็ได้
อันที่จริง บทบาทชิงหลานของถังหนิงนั้นดูสมจริงและเปี่ยมไปด้วยอารมณ์เพราะการกระตุ้นของโม่ถิง เป็นผลให้ ‘หวงเฟยยอดสตรี’ ทำลายสถิติละครโทรทัศน์ทั้งหมดที่เคยมีมาและยังคงติดอันดับแรกของละครที่ยอดเยี่ยมที่สุดอยู่ในขณะนั้น
นี่คือปีที่แสนจะประสบความสำเร็จของถังหนิงอย่างไม่ต้องสงสัย เธอทำยอดขายตั๋วได้ดี กลายมาเป็นแม่คน กลับไปทำงานโดยที่ดูอ่อนเยาว์ลงกว่าเดิมและได้ถ่ายละครโทรทัศน์ร่วมกับสามีของตัวเอง
“ถังหนิงจะชนะรางวัลสาขานักแสดงหญิงยอดเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัยเลยล่ะ เนอะ”
“ฉันไม่คิดว่าจะมีตัวแปรอื่นนะ ถ้าเธอไม่ชนะ โลกนี้ก็คงไร้ความยุติธรรมแล้วล่ะ”
อยู่ๆ ผู้คนในวงการบันเทิงก็แยกความแตกต่างระหว่างถังหนิงและนักแสดงหญิงคนอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน พวกเขาต้องไม่มีอคติกับเรื่องนี้เพราะทุกคนได้เห็นกับตาแล้วว่าการแสดงของถังหนิงและทักษะอันน่าประทับใจของเธอนั้นคือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
แต่หนึ่งวันก่อนพิธีมอบรางวัลเฟยเทียน กั่วกั่วต้องถูกส่งไปที่โรงพยาบาลอีกครั้งเพราะพิษไข้
ครั้งนี้ ถานซูหลิงถามโม่ถิงตรงๆ ว่า “ทำไมคุณถึงไม่บอกเรื่องนี้กับคุณถังหนิงคะ แม้เด็กจะแค่เป็นไข้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องการมีแม่มาคอยอยู่เคียงข้างนะคะ”
“คุณหมอครับ คุณล้ำเส้นเกินไปแล้วนะครับ!” โม่ถิงตอบอย่างตรงไปตรงมา
ถานซูหลิงสงบสติลงเล็กน้อยก่อนจะเริ่มจัดการทำให้อุณหภูมิร่างกายของกั่วกั่วลดลง
“ถึงจะเป็นการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ หลังจากคลอดเสร็จแล้ว เธอก็ไม่ควรทิ้งลูกไปเฉยๆ นะคะ เธอไม่สนใจลูกตัวเองเลยสักนิดเหรอ”
“ภรรยาผมไม่ได้ทอดทิ้งลูก ผมเพียงแต่ไม่ได้บอกเธอเรื่องนี้เท่านั้น ถ้าหมอถานยังเอาอารมณ์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ผมก็มีสิทธิ์ในการเปลี่ยนหมอ” โม่ถิงเอ่ยเตือน “คุณไม่มีสิทธิ์มาตัดสินครอบครัวคนอื่นแบบนี้”
ถานซูหลิงพยักหน้า หลังจากที่ช่วยปรับอุณหภูมิให้กั่วกั่วแล้ว เธอก็พูดกับโม่ถิงว่า “ฉันก็แค่รู้สึกแย่แทนเด็กน่ะค่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องที่คุณจะต้องมารู้สึกแย่” โม่ถิงกล่าวก่อนจะอุ้มกั่วกั่วออกไปจากโรงพยาบาล เมื่อเดินไปถึงประตูหน้า เขาก็พูดกับไป๋ลี่หวาว่า “แม่ครับ เตรียมเปลี่ยนโรงพยาบาลได้เลยครับ”
ในตอนนั้น สิ่งที่โม่ถิงเสียใจมากที่สุดก็คือการที่เขาไม่มีทีมแพทย์เป็นของตัวเอง
หลังจากที่รู้ว่าร่างกายของกั่วกั่วค่อนข้างอ่อนแอ โม่ถิงจึงมองหากุมารแพทย์ที่มีฝีมือไปทั่วทุกที่ เขาต้องการเพียงแค่ลดความทุกข์ทรมานของลูกชายเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องปฏิเสธไม่ได้ว่าถานซูหลิงคือหมอที่เก่งที่สุดในวงการนี้แม้ว่าเธอจะอารมณ์อ่อนไหวเกินไปหน่อยก็ตาม
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่อยากพบหมอที่มีอคติกับภรรยาของเขาอีก
สำหรับโม่ถิง บนโลกนี้มีคนเพียงสองประเภทคือถังหนิงและคนทั่วๆ ไป
“ลูกถิง ถึงเวลาที่ลูกจะต้องบอกลูกหนิงเรื่องนี้แล้วนะ” หัวใจไป๋ลี่หวาปวดร้าวขณะที่มองกั่วกั่วทรมาน “ลูกจำเป็นต้องรู้นะ ไม่ว่าคนเป็นพ่อจะละเอียดรอบคอบแค่ไหน การดูแลจากแม่นั้นก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น”
“ผมรู้ว่าผมต้องทำอะไรครับ”
พิธีมอบรางวัลเฟยเทียนนั้นอยู่ใกล้เพียงเอื้อมคว้าและถังหนิงก็กำลังจะกลับบ้าน แต่ภาพยนตร์เรื่อง ‘ผู้รอดชีพ’ นั้นเพิ่งจะถ่ายเสร็จไปแค่สองในสามส่วน
…
เมื่อเป็นเรื่องของพิธีมอบรางวัลเฟยเทียน สาธารณชนให้ความสนใจกับมันอย่างใกล้ชิดเป็นประจำทุกปี เพราะถึงอย่างไร รางวัลเหล่านี้ก็เป็นที่เคารพนับถือมากที่สุดในกรุงปักกิ่งและภาพยนตร์ทุกเรื่องรวมไปถึงนักแสดงที่ชนะรางวัลนี้ก็ได้รับการชื่นชมอย่างแท้จริง
สำหรับพิธีมอบรางวัลเฟยเทียนของปีนี้ ถังหนิงเป็นที่โปรดปรานของทุกคนอีกครั้ง ดังนั้นการถกเถียงจึงเข้มข้นมากยิ่งกว่าเคย แม้แต่ที่โรงพยาบาลเอง เหล่าหมอและพยาบาลทั้งหลายต่างก็ดูละครเรื่อง ‘หวงเฟยยอดสตรี’ เพื่อความบันเทิงระหว่างช่วงพักกันทั้งนั้น
เมื่อเห็นเช่นนี้ ถานซูหลิงก็ขมวดคิ้ว “อย่าให้ฉันรู้นะว่าพวกเธอดูอะไรไร้สาระอย่างนี้ในชั่วโมงการทำงานอีก”
เหล่าพยาบาลรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย ถานซูหลิงไม่เคยห้ามให้พวกเขาดูละครเรื่องนี้มาก่อน…
ทำไมจู่ๆ เธอถึงโกรธขึ้นมาได้ล่ะ
ถานซูหลิงรู้ว่าเหล่าพยาบาลสงสัยเรื่องอะไร ดังนั้นเธอจึงอธิบายว่า “ฉันไม่สนใจหรอกนะว่าเธอจะเป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จแค่ไหน ในสายตาฉัน ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ล้มเหลวอย่างที่สุดในการดูแลลูกของตัวเอง เธอไม่ควรมีสิทธิ์จะมีลูกด้วยซ้ำ”
“เอิ่ม…”
เหล่านางพยาบาลยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน พวกเขารู้สึกว่าถานซูหลิงกำลังล้ำขีดจำกัดของตัวเอง
“กั่วกั่วป่วยหนักมาสามครั้งแล้ว แต่เธอก็ไม่โผล่มาแม้แต่ครั้งเดียว พวกเธอเคยเห็นแม่แบบนี้ไหมล่ะ”
“หมอถานคะ ฉันเกรงว่านั่นไม่ใช่เรื่องของหมอนะคะ”
ถานซูหลิงจ้องหน้าเหล่าพยาบาลก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
ในความเป็นจริงแล้ว แม้แต่ถานซูหลิงเองก็รู้สึกว่าเธอทำเกินไปหน่อย ทำไมเธอถึงโกรธเรื่องความไร้ความรับผิดชอบของถังหนิงขนาดนี้กันนะ
บางทีอาจเป็นเพราะเธอรู้สึกว่าถังหนิงนั้นไม่สมควรได้รับความรักจากคนอื่น ในเมื่อเธอเป็นแม่ที่ไม่ได้ความขนาดนี้ เธอต้องแอบแสร้งทำอยู่แน่ๆ
“แต่หมอถานคงจะไม่ได้พูดเรื่องจริงหรอกใช่ไหม ลูกชายของถังหนิงกับโม่ถิงป่วยมาสามครั้งแล้วเหรอ และถังหนิงก็ไม่โผล่มาเลยสักครั้งเนี่ยนะ”
“พวกเขาสองคนคงไม่ได้แต่งงานกันแค่เพราะหวังผลประโยชน์ใช่ไหม ประเภทที่แบบต่างคนต่างทำเรื่องของตัวเองน่ะ”
“หยุดเดามั่วได้แล้ว พวกเขารักกันดีจะตาย นั่นมันเป็นไปไม่ได้หรอก”
พยาบาลทั้งสามเริ่มถกเถียงกันในแผนกโดยไม่ได้คิดเลยว่าพวกเขากำลังคุยกันเรื่องความลับที่โม่ถิงไม่ต้องการให้ใครล่วงรู้
แน่นอนว่านี่เป็นเพราะถานซูหลิง
ถานซูหลิงอาจจะเป็นมืออาชีพ แต่ในฐานะคนปกติ เธอมีอีคิวต่ำเป็นอย่างมากเพราะเธอคิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่และผู้เที่ยงธรรม
แน่นอนว่ามันเป็นเพียงการถกเถียงกันระหว่างพยาบาลเพียงไม่กี่คน สถานการณ์นี้ไม่ได้บานปลาย แต่เพียงเพราะมันไม่ได้บานปลายในวันนี้ ก็ไม่ได้แปลว่าพรุ่งนี้มันจะไม่เกิดขึ้น…
…
ค่ำคืนมาถึง
โม่ถิงครุ่นคิดอยู่กับตัวเองในห้องทำงานอยู่มาพักใหญ่ๆ แล้ว ในตอนท้าย ชายหนุ่มก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรหาเบอร์โทรศัพท์ที่คุ้นเคย
“หนิงครับ…”
ถังหนิงกำลังถ่ายทำฉากกลางคืนอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่เพิกเฉยต่อสายเข้าจากโม่ถิง “มีอะไรเหรอคะ ทำไมดึกดื่นป่านนี้คุณถึงยังไม่เข้านอนอีก?”
“กั่วกั่วอาการไม่ค่อยดีครับ” โม่ถิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “พักหลังมานี้เขามีไข้บ่อยและระบบภูมิคุ้มกันของเขาก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ในหัวถังหนิงก็ว่างเปล่า “ร้ายแรงไหมคะ เขายังมีไข้อยู่หรือเปล่า”
“หลังจากผ่านไปสองสามครั้ง อาการเขาก็คงที่ขึ้นครับ ไม่ต้องเป็นห่วง” โม่ถิงรู้ว่าถังหนิงกำลังคิดจะรีบกลับมาบ้านในทันที ดังนั้นเขาจึงรีบปลอบโยนเธอ “หลังจากเล่นกับถังถังได้สักพัก เขาก็ผล็อยหลับไปแล้วล่ะครับ คุณไม่ต้องรีบกลับมาบ้านหรอก อีกสองวันค่อยกลับมาอย่างที่วางแผนไว้ตอนแรกก็ได้”