“ฉันได้ยินเรื่องของหมอถานผู้โด่งดังมานานแล้ว… พอได้เจอวันนี้แล้วคุณนี่หลงตัวเองอย่างกับคนโง่จริงๆ!” ถังอี้เฉินเอ่ยขณะปรายตามองถานซูหลิงอย่างพินิจพิจารณา “คุณก็ดูเป็นมืออาชีพดีนี่ แต่การควบคุมอารมณ์ของคุณกลับไม่มีอยู่เลย ก่อนที่คุณจะรักษาเด็กคนอื่น ฉันว่ากลับบ้านไปเรียนรู้การควบคุมอารมณ์ของตัวเองดีกว่านะคะ”
ก่อนหน้านี้ถังอี้เฉินได้อ่านรายงานทางการแพทย์ที่ถานซูหลิงเคยเขียนและเข้าใจว่าเจ้าตัวเป็นคงเป็นพวกนิยมความสมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตาม เธอก็เป็นพวกมองโลกในแบบอุดมคติและไม่คำนึงถึงอุปสรรคอื่นๆ พร้อมคาดหวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้อย่างราบรื่น
สำหรับเธอเด็กๆ นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของแต่ละคน ฉะนั้นแล้วพ่อแม่จึงควรอยู่ข้างๆ และคอยดูแลพวกเขาตลอดเวลา พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีค่ามากที่สุดบนโลกใบนี้ ผู้ใหญ่จึงควรเฝ้าดูแลความหวังของมนุษยชาติอย่างไม่มีข้อแม้
“คุณมีสิทธ์อะไรมาสั่งสอนว่าฉันควรทำอะไร” ถานซูหลิงมองพิจารณาถังอี้เฉินจากศีรษะจรดปลายเท้าในขณะที่ว่าขึ้นด้วยความสงสัยและเย่อหยิ่ง
“ว่ากันตามจริงแล้วตอนนี้ฉันเป็นรองศาสตราจารย์ด้านกุมารเวชศาสตร์แล้ว และคุณเป็นแค่ผู้ชำนาญการเท่านั้น” พูดจบถังอี้เฉินก็แสดงบัตรประจำตัวเป็นการยืนยัน
จากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ ถานซูหลิงนั้นเป็นคนมีความสามารถซึ่งเป็นสิ่งที่ถังอี้เฉินต้องยอมรับ ทว่าถานซูหลิงถืออคติส่วนตัวมากเกินไปทำให้ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนักเมื่อเทียบกับสถานะและความสามารถของเธอ
หลังจากรู้ว่าถังอี้เฉินเป็นใคร อีกฝ่ายก็เงียบลงอย่างไม่พอใจนัก
สมาชิกในครอบครัวออกมาจากโรงพยาบาลด้วยกันในเวลาต่อมา ถังอี้เฉินเอ่ยกับคู่สามีภรรยาระหว่างการย้ายโรงพบาบาล “พวกเธอยังไม่ใส่ใจกับการรักษามากพอถึงได้ต้องหัวหมุนวุ่นวายตอนที่กั่วกั่วป่วย ทำไมเธอถึงไม่ติดต่อฉันก่อนหน้านี้ล่ะ ถึงโรงพยาบาลที่ถานซูหลิงทำงานอยู่จะเป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุดสำหรับเด็กในปักกิ่ง ต่อให้เด็กจะได้รับการรักษาแต่คนเป็นพ่อแม่คงได้ลงเอยด้วยการป่วยจิตจากอาการหัวเสียแน่”
“ฉันเตรียมทีมแพทย์ที่ดีที่สุดไว้แล้ว…”
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่กั่วกั่วต้องการตอนนี้หรอก ตอนนี้พาเขาไปที่โรงพยาบาลทหารก่อนเถอะ อาจารย์ของฉันต้องรักษากั่วกั่วได้แน่ และแน่นอนว่าหลังจากนั้นจำเป็นต้องใช้ทีมแพทย์ แต่ก็อย่าลืมตรวจดูอาการเป็นระยะด้วยล่ะ” ถังอี้เฉินได้เข้าสู่บทบาทผู้เชี่ยวชาญอย่างเต็มรูปแบบ แม้ว่าชายตรงหน้าเธอจะเป็นโม่ถิงก็อดที่จะแสดงความเห็นของตัวเองออกมาไม่ได้
อันที่จริงหากมีใครสักคนตั้งคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างถังหนิงและถังอี้เฉิน ถังหนิงคงต้องบอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอีกฝ่ายนั้นห่างเหินที่สุดเมื่อเทียบกับทุกคนในตระกูลถัง
ในช่วงก่อนหน้านี้ที่ถังเซวียนยังคงอยู่ในตระกูล ถังอี้เฉินก็ไม่ได้เป็นมิตรกับเธอนักเช่นกันและมักจะวางตัวเป็นกลางเสมอ อีกส่วนคือเธอรู้สึกว่าตระกูลถังมีความลับซับซ้อนมากเกินไปดังนั้นถึงเลือกจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการร่ำเรียนวิชาแพทย์เสียมากกว่า
เพราะเช่นนั้นถังหนิงจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายใส่ใจเรื่องของเธอขนาดนี้
“เธอตกใจเหรอ” ถังอี้เฉินถามหลังจากเห็นสีหน้าประหลาดใจของถังหนิง
“อือฮึ”
“ฉันเพิ่งได้เริ่มดู หวงเฟยยอดสตรี ละครของเธอด้วย” เธอแสดงออกชัดว่าได้สังเกตท่าทางของคู่สนทนา “แต่แน่นอนว่าฉันดูมันฆ่าเวลาตอนที่ฉันเบื่อๆ น่ะ…
“เมื่อก่อนตอนเธอไม่สบายก็ไม่เคยมาหาฉันเลย หลังจากนี้ต่อไปเธอต้องติดต่อฉันมากกว่านี้นะ!”
“ฉันไม่รู้นี่…” คนฟังตอบกลับอย่างช่วยไม่ได้
ในไม่ช้าทั้งครอบครัวก็มาถึงโรงพยาบาลทหาร ถังอี้เฉินซึ่งกำลังประจำการเป็นแพทย์ทหารอยู่ที่นี่จึงอุ้มกั่วกั่วตรงไปที่ห้องผ่าตัด เสียงชายคนหนึ่งดังมาจากด้านหลังประตูเป็นครั้งคราว “เรื่องง่ายๆ แบบนี้เธอยังต้องการให้ฉันช่วยอีกเหรอ ถังอี้เฉิน ฉันอุตส่าห์สอนเธอไปตั้งเท่าไร
“แล้วถ้าเขาเป็นหลานของเธอ เธอก็ควรรักษาเข้าด้วยตัวเองสิ”
ไม่นานชายร่างสูงใหญ่ก็ก้าวออกมาจากห้องผ่าตัด ถังหนิงผงะไปเล็กน้อยทันทีที่เห็นเขา
ไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาในโรงพยาบาล น่าเสียดายที่เขาไม่ได้เป็นดารา
เขาคงเป็นอาจารย์ของถังอี้เฉิน เดิมทีทุกคนต่างคาดเดาว่าเขาคงเป็นชายวัยกลางคน ใครจะคิดว่าเขาจะอายุเพียงสามสิบต้นๆ เท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าชายคนนี้ที่อยู่ในเสื้อคลุมสีขาวกำลังพยายามอดกลั้นอารมณ์ของตัวเองอยู่ ในขณะเดียวกันท่าทีเฉยเมยและเย่อหยิ่งของเขาก็ทำให้ถังหนิงหลุดหัวเราะออกมา
เทียบกับเป่ยเฉินตงแล้วชายคนนี้ดูน่าจะเป็นญาติของโม่ถิงมากกว่าอีก
“คุณหัวเราะอะไรเหรอ” โม่ถิงถามขณะมุ่นคิ้ว
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่จู่ๆ ก็รู้แล้วว่าทำไมถังอี้เฉินถึงไม่ชอบกลับบ้าน มีอาจารย์หล่อๆ แบบนี้ ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันก็ไม่อยากกลับบ้านเหมือนกัน” ถังหนิงตอบกลับ
“คุณชอบผู้ชายแบบเขาเหรอ”
“ฉันแค่ล้อเล่นค่ะ คุณโม่” เธอรีบเอ่ยปลอบสามีขี้หึงของตัวเองทันที อีกอย่างจากสัญชาตญาณผู้หญิงของเธอ บทสนทนาระหว่างถังอี้เฉินและชายคนนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาสนิทสนมกันอย่างชัดเจน แม้ว่าจะเป็นอาจารย์และลูกศิษย์กันแต่พวกเขาต้องมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกันแน่
เพราะเหตุนี้เธอจึงไม่เชื่อว่าเขาจะเพิกเฉยและไม่รักษากั่วกั่ว
อย่างที่คาดไว้ หลังจากนั้นถังอี้เฉินเรียกให้โม่ถิงและถังหนิงเข้าไปในห้องผ่าตัด ในเวลานี้เขาเอ่ยกับคู่รักด้วยท่าทีสุขุม “ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้วครับ ให้เด็กอยู่ดูอาการสักสองวันและจากนั้นคุณอยากทำอะไรก็ตามสบายเลย…”
“ลู่กวงหลี!” ถังอี้เฉินดึงแขนเสื้อของเขาอย่างอึดอัดใจ
เธอยังไม่สนิทสนมกับถังหนิงนัก ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ดูเหมือนถังหนิงจะเข้าใจบางอย่างขึ้นมา
“เธอควรเรียกฉันว่าอาจารย์…” ลู่กวงหลีบอกท่าทางจริงจัง
ถังอี้เฉินเหลือบมองเขาในขณะที่เจ้าตัวหันไปมองถังหนิงและโม่ถิง
เธอได้แต่พูดกับทั้งคู่อย่างไม่มีทางเลือก “ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวฉันจะดูแลกั่วกั่วในระหว่างที่เขาอยู่ที่นี่เอง พวกเธอกลับบ้านได้แล้วล่ะ”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนไม่ยอมขยับไปไหนเธอจึงเอ่ยยืนกราน “นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าเป็นห่วงอะไรจริงๆ ”
“ถ้าอย่างนั้นฉันจะกลับมาดูแลกั่วกั่วตอนบ่ายแล้วกัน”
“ไม่จำเป็นหรอกครับ” ลู่กวงหลีตตอบกลับ “หลังจากเด็กหายดีแล้วผมจะแจ้งให้คุณมารับเขากลับเอง ญาติจะเข้ามาขัดขวางการทำงานของพยาบาลเปล่าๆ ครับ” พูดจบก็เดินออกไปจากห้องผ่าตัด
“ถึงเขาจะเป็นอย่างนั้นแต่ก็เป็นคนที่เก่งมากเลยล่ะ” ถังอี้เฉินอธิบายแก้ตัวให้ลู่กวงหลี “แม้ว่าเขาจะพูดจาไม่ดีบ้างแต่ความสามารถของเขาดีกว่าแพทย์ทั้งทีมที่เธอมีแน่”
“เขาเป็นอาจารย์ของเธอตั้งแต่เมื่อไรเหรอ” ถังหนิงอดไม่ได้ที่จะสงสัย
“เอ่อ… ตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัยแล้วล่ะ”
“เธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยตอนอายุสิบเก้า หมายความว่าพวกเธอรู้จักกันมาแปดเก้าปีแล้ว”
คนฟังไม่ได้ตอบอะไรแต่คนถามก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นเธอจึงไม่ได้ซักไซ้เพิ่ม “เราทิ้งกั่วกั่วไว้ตัวคนเดียวที่นี่โดยที่ไม่เป็นห่วงไม่ได้หรอก แต่ถ้าหมอลู่ยืนยันแบบนั้นเราก็จะกลับไปและรอฟังความคืบหน้าจากเธอ ถ้าเกิดอะไรขึ้นติดต่อฉันทันทีเลยนะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วง นี่เป็นครั้งแรกที่ประธานโม่เป็นพ่อคนเขาเลยไม่มีประสบการณ์นัก ดูแลเด็กง่ายเสียที่ไหน คุณทำดีที่สุดแล้วล่ะอย่างคิดมากไปเลยค่ะ”
ถังหนิงพยักหน้ารับก่อนกลับบ้านไปพร้อมโม่ถิง อย่างไรก็ตามทันทีที่พวกเขาออกจากโรงพยาบาลโม่ถิงก็สั่งให้ลู่เช่อสืบประวัติของลู่กวงหลี
ทันทีที่ลู่เช่อได้รับข้อมูล ดวงตาเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ
ลู่กวงหลีได้สร้างคุณูปการในวงการแพทย์ไว้มากตั้งแต่อายุยังน้อย เขาเป็นคนที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ
แต่ทว่าไม่มีใครคาดคิดว่าความขัดแย้งกันระหว่างถังหนิงและถานซูหลิงซึ่งเกิดขึ้นที่โรงพยาบาลจะหลุดออกมาบนหน้าข่าวบันเทิง