“กั่วกั่วมีปัญหาด้านพัฒนาการตั้งแต่เขาอยู่ในครรภ์จริงครับ เขาเลยป่วยบ่อยหลังจากคลอด” โม่ถิงตอบกลับด้วยความสัตย์จริง
นักข่าวนึกไม่ถึงว่าโม่ถิงจะตอบเช่นนี้ขณะเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
จริงหรือที่ถังหนิงละเลยสุขภาพของลูกตัวเองตั้งแต่เธอตั้งครรภ์
“แต่นั่นเป็นเพราะ
“ภรรยาของผมคลอดลูกแฝด”
“หือ…?”
บรรดานักข่าวนิ่งงันด้วยความตกใจ พวกเขาได้ยินกันหมดใช่ไหม เมื่อครู่โม่ถิงเพิ่งพูดว่าอะไรนะ
ถังหนิงมีลูกแฝดเหรอ
“กั่วกั่วเกิดมาทีหลังและมีพัฒนาการช้าเขาจึงไม่ได้รับสารอาหารมากเท่ากับพี่ชายของเขา ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเขาอ่อนแอเล็กน้อย”
ด้วยคำพูดเหล่านี้ในที่สุดทุกคนต่างเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นที่รู้กันดีสำหรับคนที่คลอดลูกแฝดว่าเป็นปกติที่ฝาแฝดจะมีพัฒนาการที่ต่างกัน และยิ่งเป็นธรรมดาที่แฝดน้องจะร่างกายอ่อนแอกว่าแฝดพี่
“เรื่องมันเป็นแบบนั้นสินะ…”
“จริงๆ แล้วถังหนิงคลอดลูกแฝดโดยที่ไม่มีใครรู้เลย…”
“ดูแลเด็กสองคนต้องลำบากไม่น้อยแน่ ไม่น่าล่ะประธานโม่ถึงลำบากใจกับถังหนิงที่ไม่ยอมบอกเธอให้รู้ว่าลูกชายป่วย”
นักข่าวในห้องเริ่มแสดงความเห็นในเรื่องนี้
“ใครมีคำถามอีกไหมครับ”
เรื่องทุกอย่างถูกชี้แจงแล้ว ถานซูหลิงมีความสามารถแต่เธอไม่รู้จักวิธีปฏิบัติตัวกับเพื่อนมนุษย์เธอจึงถูกไล่ออกจากโรงพยาบาล เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับการกดดันจากไหรุ่ยอย่างในข่าวลือที่คนพูดกัน
การที่มีคนมากมายร้องเรียนเกี่ยวกับถานซูหลิงแสดงให้เห็นชัดว่าเธอไม่ใช่คนที่น่าคบหานัก
ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เธอสร้างปัญหาให้พวกเขาอีก พวกเขาจึงโยนความผิดให้กับไห่รุ่ยและปล่อยให้ทุกคนคิดว่าไห่รุ่ยใช้วิธีสกปรกกดขี่เทวดานางฟ้าในชุดขาวผู้ใสซื่อบริสุทธิ์ โชคไม่ดีนักที่โม่ถิงไม่ใช่คนธรรมดาและเขาไม่เคยปล่อยให้คนอื่นป้ายความผิดให้เขา
โม่ถิงเป็นใครแล้วถังหนิงเป็นใคร ทั้งคู่ไม่เคยหาเรื่องใครแต่เมื่อคนอื่นมาหาเรื่อง พวกเขาไม่เคยหลบซ่อนในความกลัว ทั้งยังสืบหาความจริงและทวงความยุติธรรมให้ตัวเอง
“ประธานโม่ครับ คุณจะเปิดเผยรูปของฝาแฝดไหมครับ”
“ประธานโม่คะ ลูกทั้งสองคนจะเข้าสู่วงการบันเทิงไหมคะ”
เมื่อเห็นว่านักข่าวไม่มีคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นแล้วโม่ถิงก็จัดเสื้อให้เรียบร้อยก่อนลุกขึ้นจากโซฟา
ประเด็นต่างๆ ได้รับการชี้แจงแล้วทว่าบทลงโทษนั้นยังไม่เพียงพอ
แน่นอนว่าผู้อำนวยการหลินได้เตรียมการกับการที่โรงพยาบาลจะถูกโจมตี แต่เพราะว่าถานซูหลิงทำตัวไร้จรรยาบรรณจริงโรงพยาบาลจึงไม่ต้องแบกรับความรับผิดชอบมาก ในทางกลับกันถานซูหลิงกลับมีชะตากรรมที่ไม่ดีนัก
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผู้อำนวยการหลินคาดไม่ถึงนั้นยังมาไม่ถึง…
…
โม่ถิงออกมาอธิบายข่าวอื้อฉาวทั้งหมดของถังหนิงและแสดงให้เห็นว่าเขาและเธอเป็นคู่รักปกติทั่วไป นอกจากนี้แล้วยังเผยเรื่องที่พวกเขามีลูกชายฝาแฝดอีกด้วย
ในที่สุดความจริงก็ถูกเปิดเผยหลังจากเหตุการณ์นี้ แม้ว่าสังคมจะเบนความสนใจไปที่ถานซูหลิงก็ตาม
พวกเขาสงสัยว่าเธอไปทำอะไรให้ทุกคนตั้งตัวเป็นศัตรูและเกลียดเธอมากขนาดนี้
ดังนั้นหลายคนจึงเริ่มขุดคุ้ยอดีตของเธอและพบว่าเธอถูกร้องเรียนจากญาติคนไข้หลายคนเพราะเธอทำตัวโรคจิตอ่อนๆ
[แม้ว่าจะเป็นความรับผิดชอบของหมอที่จะใส่ใจคนไข้ของพวกเขาที่สุด แต่พวกเขาก็ควรสร้างความเชื่อมั่นให้กับญาติคนไข้ด้วย คุณไม่คิดว่ามันไม่แปลกบ้างเหรอที่จู่ๆ หมอจะโทษว่าเป็นความผิดของครอบครัวน่ะ]
[น่าอายที่เห็นผู้หญิงสวยๆ ทำตัวแบบนี้ ฉันว่าเธออาจจะมีอาการหวาดระแวงรุนแรงนะ]
[ฉันเป็นนักศึกษาจิตวิทยา ฉันจะทิ้งข้อมูลการติดต่อให้หมอถาน ฉันคิดว่าภาวะจิตใจของเธอแปรปรวนจริงๆ]
[เมื่อคนกลุ่มหนึ่งไม่ชอบใครสักคนอาจเป็นไปได้ว่าเป็นความหมั่นไส้ แต่หากคนส่วนใหญ่ไม่ชอบพวกเขาแสดงว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติกับคนคนนี้แน่ ไม่น่าล่ะถังหนิงถึงย้ายลูกของเธอไปที่โรงพยาบาลอื่น มันสมเหตุสมผลดีแล้ว!]
ถานซูหลิงไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนเป็นคนละขั้วในช่วงเวลาสั้นๆ และมีคนมากมายโจมตีเธอเช่นนี้
พ่อและแม่ของเธอไม่มีทางเลือกนอกจากปลอบลูกสาวของตัวเอง “ลูกรัก แม่นัดพบนักจิตวิทยาที่ดีที่สุดให้ลูกแล้ว ทำไมไม่ให้แม่ไปกับลูกพรุ่งนี้ล่ะ”
“แม่คะ แม่ก็คิดว่าหนูป่วยเหรอคะ”
“ลูกป่วยจริงๆ นะ” พ่อของเธอตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “ลูกมีอาการหวาดระแวงรุนแรง”
ถานซูหลิงนึกไม่ถึงว่าแม้แต่พ่อแม่ของเธอก็เข้าใจเธอผิด ด้วยความโกรธที่ปะทุขึ้นเธอเดินโมโหออกจากบ้านไป อย่างไรก็ตามระหว่างที่เธอเดินไปตามท้องถนนก็พบว่าทุกคนต่างจ้องและวิพากษ์วิจารณ์เธอ ที่แย่ที่สุดคือในจังหวะนั้นเองที่เธอตระหนักได้ว่าตัวเองไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียว
“ผู้หญิงคนนี้เป็นบ้า อย่าเข้าไปใกล้เธอ”
“เธอเรียกตัวเองว่าหมอแต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองนั่นแหละที่ป่วย น่าตลกจริงๆ ”
ถานซูหลิงรู้สึกไม่ยุติธรรม ไม่ว่าอย่างไรเธอก็มีเพียงความตั้งใจในฐานะหมอ แค่หวังดีกับเด็กๆ ที่เธอรักษาเท่านั้น
เธอคิดว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ที่ถูกคนภายนอกเข้าใจผิด
ทว่าหลังจากเหตุการณ์นี้ถังหนิงที่ดูเหมือนจะเป็นคนที่เสียชื่อจากคำว่าร้ายของผู้คนซึ่งกลับกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าและไม่ได้รับการสนใจใดๆ
พิธีมอบรางวัลเฟยเทียนถูกจัดขึ้นในคืนนั้น และโม่ถิงได้ออกมาแก้ต่างให้ภรรยาของเขาในช่วงบ่ายแก่ๆ วันนั้น
ถังหนิงรู้สึกว่านอกจากทักษะการแสดงแล้วเธอเป็นเพียงคนธรรมดา ฉะนั้นหลังจากที่มีลูกเธอจึงหวังว่าจะได้รับการปฏิบัติอย่างเช่นคนทั่วไป
หากแต่… ใครบางคนกลับไม่มีทางเลือกในวงการบันเทิงนัก
เย็นวันนั้นโม่ถิงกลับมาที่บ้านและพบว่าถังหนิงยังงัวเงียอยู่บนโซฟา “ทำไมคุณยังไม่เตรียมตัวอีกล่ะ เดี๋ยวเราจะไปกันแล้วนะ”
ถังหนิงหัวเราะและเดินตรงไปที่ตู้เสื้อผ้า แต่เดินไปได้ครึ่งทางอยู่ๆ เธอก็หันกลับมาและเอ่ยกับโม่ถิง “ฉันคิดว่าต่อจากนี้ไปฉันควรทำตัวเป็นกันเองกับคนอื่นและทักทายนักข่าวทุกคนที่เจอดีไหมน่ะค่ะ”
โม่ถิงเข้าใจสิ่งที่เธอกำลังอยู่ในหัวของเธอทันทีแต่เขาคิดว่าเธอควรทำตามที่ตัวเองต้องการทำ
เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดทางการเพื่อไปงานประกาศรางวัลกับภรรยาของเขา ชุดสูทหกกระดุมสีกรมพร้อมทรงผมที่ปาดไปด้านหลังแฝงกลิ่นอายของความสง่างามทำให้เขาเป็นผู้สนับสนุนที่สมบูรณ์แบบสำหรับถังหนิง
ไม่ว่าเขาจะอายุเท่าไร โม่ถิงก็ยังคงเป็นโม่ถิง
ใบหน้าเขาไม่บ่งบอกถึงความมีอายุแม้แต่น้อย
ไม่นานถังหนิงก็แต่งตัวเสร็จและก้าวออกมาในชุดเสื้อคลุมสีครามเปล่งประกายระยิบระยับ ดูสวยพิสุทธิ์พร้อมชุดเครื่องประดับลวดลายดวงดาวของเธอ ถังหนิงในตอนนี้เป็นทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดสำหรับโม่ถิง
“ไปกันเถอะ…”
วันนี้เป็นวันที่สำคัญของถังหนิง
แม้ว่าเธอจะไม่ได้แสดงออกมาแต่โม่ถิงก็สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นของเธอ
ไม่ว่าใครต่างต้องการชนะรางวัลนักแสดงนำหญิงไม่ใช่หรือ
ผ่านมาหนึ่งปีแล้ว
ฉากเลือดสาดซึ่งทำให้ได้รับรางวัลนักแสดงหน้าใหม่เป็นที่ประจักษ์แก่พวกเขา เพียงพริบตาเดียวเวลาได้ผ่านไปหนึ่งปีและผู้เข้าชิงของเธอก่อนหน้านี้ก็หายลับไป
“ทำไมคุณถึงตัวสั่นล่ะ” โม่ถิงสังเกตว่าเกิดบางอย่างผิดปกติกับถังหนิงขณะที่พวกเขาขับรถมุ่งหน้าไปตามท้องถนน
“ฉันรู้สึกว่าจะมีบางอย่างผิดพลาดค่ะ เพราะไม่เคยมีอะไรที่ราบรื่นสำหรับฉัน” ถังหนิงหัวเราะอย่างขมขื่น