“ตราบใดที่เธอให้กำเนิดลูกชายให้ครอบครัวลู่ฉันจะไม่เข้าไปยุ่มย่ามกับชีวิตส่วนตัวของเธออีก” ดวงตาของคุณนายลู่แดงก่ำ แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกดีนักเช่นกัน “จริงๆ นะเสี่ยวมั่น ฉันขอร้องล่ะ”
“ไม่ค่ะคุณแม่ เรื่องแบบนี้… ฉัน…”
“ฉันรู้ว่าเธอลำบากใจ แต่เธอทำเพื่อลู่เช่อไม่ได้เลยเหรอ”
ลู่เช่อผลักประตูเข้ามาก่อนที่หลงเจี่ยจะขอคำอธิบายจากคุณนายลู่ เมื่อเห็นดวงตาแดงๆ ของผู้หญิงทั้งสองคนเขาก็เดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เช่นเดียวกันก่อนเขาจะถามแม่ของตัวเองให้รู้เรื่องก็เห็นว่าเธอส่งสายตาเป็นสัญญาณให้หลงเจี่ย ด้วยความเป็นคนมีไหวพริบหลงเจี่ยจึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายบอกให้เธอไม่ให้พูดสิ่งที่เกิดขึ้นกับลู่เช่อ
“ไหนๆ ลูกก็มาแล้วแม่กลับก่อนแล้วกัน” คุณนายลู่ไม่เปิดโอกาสให้ลู่เช่อถามอะไรเธอขณะที่ออกจากห้องไป จากนั้นลู่เช่อหันมองหลงเจี่ยก่อนเธอจะได้แค่ส่ายหน้าให้
“แม่จะไม่มีโอกาสได้พูดอะไรอีก”
ลู่เช่อถอนหายใจก่อนทิ้งตัวนั่งข้างหลงเจี่ย “นับจากวันแรกที่เราคบกัน ผมบอกคุณชัดแล้วว่าไม่ต้องสนใจว่าพ่อแม่ของผมจะคิดยังไง คนที่จะใช้ชีวิตไปกับคุณคือผม ถึงคุณจะคลอดลูกสาวของเราแล้วนิสัยของคุณก็ยังเหมือนเดิม คุณกำลังเก็บเรื่องอะไรมาคิดอยู่คนเดียวกันครับ ผมไม่สามารถช่วยอะไรคุณได้เลยเหรอ”
หลงเจี่ยก้มหน้าไปชั่วครู่ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองและบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาในท้ายที่สุด
ได้ยินดังนั้นคนฟังก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เหตุผลของแม่คืออะไรกันนะ แม่ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กับผมมาก่อนเลย”
“ฉันไม่ทันได้ถามเธอก่อนที่นายจะมาถึงน่ะ” ในตอนนี้หลงเจี่ยไม่ปิดบังอีกต่อไป “แม้ว่าจะไม่อยากเอามาใส่ใจ แต่คำพูดของคุณแม่ก็ทำให้ฉันดูเหมือนเป็นเครื่องผลิตลูกเลย อีกอย่างคือมีลูกสาวแล้วมันผิดตรงไหนล่ะ”
“คุณพักฟื้นมาได้เกือบเดือนแล้ว เดี๋ยวเราก็กลับบ้านได้แล้วล่ะครับ” ลู่เช่อไม่ได้ปลอบหลงเจี่ยแต่เขากลับเปลี่ยนเรื่องทันที “พ่อกับแม่จะมาทานข้าวเย็นที่บ้านเราคืนนี้”
เธอไม่รู้ว่าเขาวางแผนอะไรไว้จึงรู้สึกกังวลเล็กน้อย “นายตั้งใจจะทำอะไรเหรอ”
“แค่การทานข้าวเย็นกับครอบครัวธรรมดาน่ะ” อีกฝ่ายตอบอย่างสบายๆ พูดจบก็ส่งโทรศัพท์ให้เธอ “เมื่อคืนคุณไม่ได้รีบไปแสดงความยินดีกับคุณผู้หญิงเหรอ โทรไปหาเธอก่อนก็ได้นะครับ”
ความสนใจในเรื่องก่อนหน้านี้ของหลงเจี่ยเลือนหายไปในขณะที่เจ้าตัวรับโทรศัพท์จากมือลู่เช่อ “ฉันเกือบลืมเรื่องนั้นไปเลย”
เมื่อคิดย้อนไปในช่วงที่ใช้เวลากับถังหนิง เธอก็รู้สึกมีความสุขกับสิ่งที่ถังหนิงประสบความสำเร็จจริงๆ ตลอดช่วงเวลาที่ถังหนิงถูกหันอวี้ฝานกดขี่ข่มเหง หลงเจี่ยไม่เคยคาดคิดจริงๆ ว่าเธอจะมาจนถึงจุดนี้ได้เลย
ระหว่างที่ลู่เช่อมองหลงเจี่ยต่อสายหาถังหนิงเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก บางครั้งในฐานะลูกชายและสามีก็ต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่งที่กลายเป็นปัญหาในครอบครัว ทว่าในตอนนี้เขานั้นเป็นพ่อคนหากไม่เผชิญหน้ากับเรื่องพวกนี้ด้วยตัวเอง ภรรยาและลูกสาวของเขาจะรู้สึกเชื่อมั่นได้อย่างไร
…
ข่าวที่ถังหนิงได้รับรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมเป็นข่าวดังบนโลกออนไลน์
ผู้คนจึงเริ่มนำภาพยนตร์ของเธอก่อนหน้านี้มาดูอีกครั้งพาให้ยอดเข้าชมออนไลน์กลับมาอยู่ในอันดับยอดนิยม ซึ่งเกิดจากผลงานชั้นเอกและแสดงถึงความเป็นตำนาน
ในตอนนี้ถังหนิงต้องรีบกลับไปยังกองถ่าย ‘ผู้รอดชีพ’ ทว่าเธอต้องการแน่ใจว่ากั่วกั่วแข็งแรงดีและต้องไปเยี่ยมผู้หญิงที่คนขับรถของพวกเขาขับชนคืนก่อนหน้านี้ ซึ่งหากจะพูดให้ถูกคือผู้หญิงคนนั้นวิ่งพรวดพราดออกมาบนถนน
เพื่อความสะดวกในการเยี่ยมกั่วกั่ว ถังหนิงสั่งให้คนขับรถของเธอพาผู้หญิงคนนั้นเข้ารักษาที่โรงพยาบาลทหารภายใต้การดูแลของถังอี้เฉิน
เดิมทีเธอต้องการติดต่อกับญาติของผู้หญิงคนนั้นหากแต่เจ้าตัวไม่มีโทรศัพท์หรือเอกสารระบุตัวตนติดตัวเลย
ดังนั้นพวกเขาจงไม่มีทางเลือกนอกจากรอให้เธอฟื้นและดูอาการของเธอ
ก่อนที่ถังหนิงจะกลับไปที่กองถ่ายเธอแวะที่โรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมกั่วกั่ว ในตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นก็ตื่นแล้วด้วยแม้ว่าเธอจะไม่ยอมปริปากหรือรับการรักษาก็ตาม จนกระทั่งเธอเห็นถังหนิงถึงได้ลงไปนั่งกองกับพื้นและกอดขาอีกคนไว้ “ฉันรู้ว่าตอนนี้คุณเป็นนักแสดงที่ดังที่สุดในปักกิ่ง คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหมคะ ขอร้องล่ะ อย่าบอกให้สื่อรู้เรื่องของฉันเลยนะคะ”
ถังหนิงประคองเธอขึ้นมาและพากลับไปที่เตียง “เธอต้องการการดูแลจากครอบครัวของเธอนะ”
“ฉันไม่ต้องการค่ะ” เธอรีบส่ายศีรษะปฏิเสธ “ฉันไม่ได้หนีออกมาได้ง่ายๆ เลยค่ะ”
“ทำไมเธอถึงใช้คำว่าหนีกับครอบครัวของตัวเองล่ะ”
อีกฝ่ายเงียบไปเพราะคำถามของถังหนิง สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความลังเลใจหากแต่ถังหนิงก็ดูออกว่าผู้หญิงคนนี้เห็นเธอเป็นที่พึ่งสุดท้าย “เป็นเพราะว่าฉันมีพี่ชายจอมเผด็จการค่ะ ฉันไม่อยากอยู่ใต้การควบคุมของเขาอีกแล้ว ถังหนิง ขอร้องล่ะค่ะ ฉันไม่อยากให้ใครตามหาฉันเจอ ตราบใดที่ได้มีชีวิตที่สงบสุขฉันยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อคุณเลยค่ะ สำหรับเรื่องเมื่อคืน ที่ฉันโดนรถของคุณชนเพราะว่าฉันกำลังหนีออกมาจากพิธีมอบรางวัลค่ะ”
“พี่ชายเธออยู่ในวงการบันเทิงเหรอ” ถังหนิงถาม
คู่สนทนานิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนจะพยักหน้ารับ
ถังหนิงคิดชั่วครู่และเอ่ยขึ้น “ฉันเชื่อในเรื่องโชคชะตา เพราะเธอถูกรถของเราชนฉันจะพิจารณาคำขอร้องของคุณแล้วกัน แต่ยังไงก็ตามฉันก็มีขีดจำกัดของตัวเอง ซึ่งหวังว่าเธอจะไม่ล้ำเส้นนะ ไม่อย่างนั้นฉันไม่ปล่อยคุณไว้แน่…
“พอดีฉันกำลังจะกลับไปที่กองถ่ายและบังเอิญว่ายังขาดผู้ช่วยอยู่ ถ้าเธอสามารถจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ก็มากับฉัน”
เธอมองถังหนิงอย่างตกตะลึงก่อนจะพยักหน้ารับในที่สุด “ขอบคุณนะคะ ฉันทำได้ทุกอย่างเลยค่ะ”
“เธอชื่ออะไรล่ะ”
“ฉันชื่อหลินเฉี่ยนค่ะ” หญิงสาวตอบ
“เธอแซ่หลิน…” ถังหนิงเอ่ยอย่างมีความนัย จากนั้นจึงบอกหลินเฉี่ยน “อาบน้ำและไปที่กองถ่ายกับฉันแล้วกัน”
“จะไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ”
ถังหนิงรู้ว่าหลินเฉี่ยนมีเรื่องที่ต้องบอก อันที่จริงอาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อน แต่เธอไม่รีบร้อนถามและขุดคุ้ยให้เธอทุกข์ใจ เธอกลับเลือกให้ความหวังกับเธอ เหตุผลที่เธอยินดีที่จะช่วยหลินเฉี่ยนเพราะรอยช้ำบนร่างของอีกฝ่ายที่สังเกตเห็น ดูท่าแล้วเธอน่าจะถูกทำร้ายมา
หากเธอหนีบางอย่างออกมาจริงๆ มันต้องเกี่ยวข้องรอยช้ำพวกนี้แน่
“ถึงฉันจะอนุญาตให้เธอติดตามฉันแต่เธอก็ต้องส่งประวัติส่วนตัวให้ฉันนะ สามีฉันไม่ยอมให้ผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มาอยู่ข้างๆ แน่”
จากแววตาของเธอ ถังหนิงดูออกว่าหลินเฉี่ยนไม่ใช่จิตใจเลวร้าย อันที่จริงตัวตนของเธออาจไม่ธรรมดา ไม่อย่างนั้นคนทั่วไปที่ไหนจะใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมทั้งตัวกัน
พี่ชายของเธอเป็นคนในวงการ… แน่ละว่าวงการนี้ไม่สิ้นความลับอันดำมืด
…
ในขณะที่ทุกอย่างดำเนินไป หลงเจี่ยและลู่เช่อก็เพิ่งกลับถึงบ้าน