คุณนายและคุณพ่อลู่เตรียมเตียงเด็กที่ดีที่สุดและของใช้เด็กไว้ให้แต่หลงเจี่ยดูออกว่าเธอไม่ได้ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจแต่ทำลงไปเพียงแค่ต้องการให้หลงเจี่ยมีลูกชายให้เท่านั้น
บรรยากาศเป็นไปด้วยความอึดอัดเล็กน้อย หากแต่ลู่เช่อรับรู้ได้อย่างรวดเร็วก่อนเอ่ยกับหลงเจี่ย “เมื่อคืนคุณอยู่ให้นมลูกจนดึก เข้าไปพักด้านในเถอะ”
เธอพยักหน้ารับ ข้อดีของลู่เช่อคือเขามักเข้าใจถึงความลำบากใจของเธอในสถานการณ์เช่นนี้
“แล้วลูกล่ะคะ”
“เดี๋ยวผมจะกล่อมลูกเข้านอนเอง ถ้ายัยหนูหิวจะเรียกคุณนะ”
อีกฝ่ายเดินเข้าห้องนอนไปอย่างหายห่วง
ลู่เช่ออุ้มลูกสาวของเขามาตรงหน้าแม่ของตัวเองเพื่อดูท่าทีของเธอ ทว่าเธอกลับแสร้งทำเหมือนว่าไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเมื่อเช้านี้อย่างแนบเนียน ทั้งยังเก็บซ่อนอารมณ์ได้อย่างมิดชิด อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้เผยตัวตนที่แท้จริงของเธอทำเพียงแค่รอให้เวลาอาหารกลางวันมาถึง
ขณะเดียวกันด้วยการปกป้องจากลู่เช่อ หลงเจี่ยผ่อนคลายลงมาก แต่เมื่อเวลามื้อกลางวันมาถึงบรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็เปลี่ยนไป
ในตอนนั้นลูกกำลังนอนหลับอยู่ สมาชิกครอบครัวทั้งสี่คนนั่งอยู่รอบโต๊ะอาหารโดยไม่พูดคุยกันสักคำ หลงเจี่ยมองซ้ายขวาและรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย จังหวะนั้นเองที่จู่ๆ ลู่เช่อก็วางชามและตะเกียบของตัวเองลงก่อนเอ่ยปากกับคุณนายลู่ “แม่ครับ ผมรู้ว่าเมื่อเช้าแม่คุยกับเสี่ยวมั่นเรื่องมีลูกชาย ผมคิดเรื่องนี้และตัดสินใจแล้วว่ามีลูกสาวคนเดียวก็พอแล้วครับ”
ทันใดนั้นท่าทีของอีกฝ่ายก็ดูไม่สู้ดีนัก
“ผมไม่รู้ว่าทำไมแม่ถึงอยากให้เสี่ยวมั่นมีลูกชายนัก แต่นั่นเป็นเรื่องระหว่างเราสองคน แม่เป็นแม่ของผม แต่ก็เข้ามาเจ้ากี้เจ้าการชีวิตผมไม่ได้นะครับ ผมพูดเรื่องนี้หลายครั้งแล้วว่าถ้ามีปัญหาอะไรให้มาพูดกับผม ไม่จำเป็นต้องไปทำให้เสี่ยวมั่นลำบากใจตลอดเวลาหรอกครับ แม่ก็รู้ดีว่าเธอทุ่มเทเพื่อให้แม่ยอมรับเธอขนาดไหนนี่ครับ”
คุณนายลู่ก้มมองชามข้าวของตัวเองและไม่ปริปากใดๆ ออกมา
“อีกอย่างเธอเพิ่งคลอดลูกมา ในฐานะผู้ใหญ่แม่คิดบ้างหรือเปล่าครับว่าควรพูดเรื่องนี้ในเวลานี้
“เธอเป็นภรรยาของผม ผมแต่งงานกับเธอเพราะความรัก แม่ก็เป็นผู้หญิงด้วยกันทำไมถึงต้องทำให้ลูกสะใภ้ลำบากใจแบบนี้ด้วยล่ะครับ”
เธอไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำพร้อมวางชามและตะเกียบของตัวเองลงก่อนเดินออกไป
ในขณะที่คุณพ่อลู่อยู่ในความงุนงง ลู่เช่อกลับมีท่าทีสงบอย่างมาก
หลงเจี่ยดึงแขนเสื้อของลู่เช่ออย่างเกร็งๆ “นายพูดรุนแรงไปนะ”
“ไม่ต้องห่วง ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง”
“ทำไมล่ะ จะมีเหตุผลอะไรได้อีก” จู่ๆ คุณนายลู่ก็ว่าขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยวในขณะที่ที่เธอกลับมาที่โต๊ะอาหาร “ครอบครัวลู่ไม่ได้ดูถูกชาติกำเนิดของเธอ ทั้งยังอ้าแขนต้อนรับอีกต่างหาก แม่แค่ขอให้เธอมีลูกชายให้ จะเป็นเรื่องยุ่งยากอะไรล่ะ แม่พูดกับเธอเมื่อเช้านี้เอง แต่เธอก็คาบข่าวไปบอกลูกแล้ว หลงมั่น นี่คือวิธีของเธอสินะ”
“ผมรู้เรื่องนี้เองครับ เธอไม่ได้ตั้งใจจะบอกผม อีกอย่างเราก็เป็นสามีภรรยากัน ถ้าเธออยากจะมีลูกเธอไม่ต้องปรึกษาผมก่อนเหรอครับ” ลู่เช่อขึ้นเสียง “ผมไม่เข้าใจแม่เลย นี่มันปีไหนแล้ว ทำไมถึงต้องมีข้อจำกัดและข้อเรียกร้องกับคนในครอบครัวตัวเองด้วยครับ เหมือนว่าชีวิตของเราจะวุ่นวายไปนะครับ
“เสี่ยวมั่นทำงานเลี้ยงตัวเองได้ เธอต่ำต้อยกว่าพ่อกับแม่ตรงไหนครับ ทำไมแม่ถึงตั้งแง่กับเธอนักล่ะ แม่คิดว่าตัวเองดีแค่ไหนเชียว”
“พอแล้ว ไม่มีประโยชน์จะเถียงเรื่องนี้ต่อไป ถ้าแม่ไม่ได้หลานชายเราก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก”
เมื่อเห็นว่าคุณนายลู่ไม่ต้องการเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อไป ลู่เช่อก็ตอบกลับ “เพราะแม่ไม่ให้เกียรติภรรยาของผม ต่อให้ผมมีลูกชายในอนาคต ผมก็จะเล่าให้เขาฟังว่าย่าเขาทำอะไรไว้กับแม่ของเขาบ้าง”
“ลูก…”
“แม่ครับ ทุกคนต่างก็มีขีดจำกัดนะครับ”
“ดูเหมือนว่าลูกจะมีอิสระมานานจนลืมพ่อแม่ของตัวเองไปแล้วสินะ” อีกฝ่ายปล่อยโฮออกมา
“อย่าพยายามกดดันผมอย่างนั้นเลยครับ แม่ก็รู้ว่าผมเกลียดการทำอะไรแบบนั้นและจะไม่หลงกล” ลู่เช่อกอดหลงเจี่ยไว้แน่น เขารู้ว่านอกจากญาติเพียงคนเดียวเธอมีเพียงเขาคนเดียวที่พึ่งพาได้
บางอย่างที่ผู้ชายต้องทำ
“ได้ แม่จะทำเหมือนว่าไม่เคยคลอดลูกออกมาแล้วกัน” พูดจบคุณนายลู่ก็เกรี้ยวกราดเดินออกจากบ้านไปก่อนที่คุณพ่อลู่จะรีบตามหลังไป
พลันความเงียบก็โรยตัวทั่วโต๊ะอาหาร หลงเจี่ยซบไหล่ลู่เช่อและเอ่ยขึ้น “ทำไมนายทำแบบนั้นล่ะ”
“ผมต้องการปกป้องคุณและครอบครัวของเรา”
ไม่มีใครอยากให้เรื่องลงเอยเช่นนี้แต่เขาจำเป็นต้องตัดสินใจ
หลงเจี่ยขยับตัวแรงๆ พลางถอนหายใจออกมา “ขอบคุณที่ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจตลอดช่วงเวลาที่ฉันรู้สึกอ่อนแอนะ”
“มันเป็นสิ่งที่สามีและคนเป็นพ่อควรทำครับ”
ไม่ว่าเหตุผลที่คุณยายลู่ต้องการหลานชายจะคืออะไรมันก็เป็นเรื่องที่เกินขอบเขตไป เธอมีสิทธิ์ที่จะแสดงความเห็น เธอไม่สามารถทำเหมือนหลงเจี่ยเป็นเครื่องผลิตลูก เธอไม่ควรลืมว่าเธอเองก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน
“คุณแม่จะไม่ชอบฉันเพราะฉันอยู่ในวงการบันเทิงหรือเปล่า เธอคิดว่าฉันต่ำต้อยหรือเปล่า”
“คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะ” ลู่เช่อตอบกลับ
“หรือบางทีเธอจะคิดว่าฉันไม่มีความสามารถ…”
“ผมรู้ดีกว่าใครว่าคุณมีความสามารถหรือเปล่า เสี่ยวมั่น ไม่ว่าคุณจะอยากทำอะไรก็ลงมือทำได้เลย” ลู่เช่อปฏิเสธไม่ได้ว่าโม่ถิงเป็นแบบอย่างให้กับเขาเมื่อถึงคราวที่เขามีคนรักเป็นของตัวเอง
เขาไม่เคยคิดว่าผู้หญิงคนไหนอ่อนแอกว่าผู้ชายและถังหนิงนั้นเป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เป็นจังหวะเดียวกับที่หลงเจี่ยได้ปฏิญาณกับตัวเอง เธอจะไม่ปล่อยให้ลู่เช่อปกป้องเธอแต่ฝ่ายเดียว เธอควรสร้างความมั่นใจและเป็นแรงใจให้ตัวเองเช่นกัน
หลงเจี่ยเตรียมตัวรับมือกับคุณนายลู่
ตราบใดที่คุณนายลู่เต็มใจหลงเจี่ยยินดีที่จะทำตัวเป็นลูกสาวกับเธอ ทว่าหากอีกฝ่ายยืนกรานจะสร้างปัญหาให้เธอก็จะไม่หลบซ่อน เธอจะไม่ปล่อยให้ลู่เช่อเผชิญกับปัญหาเพียงลำพังอีกต่อไป
ดังนั้นเธอจึงมีแผนในใจไว้แล้ว
อย่างไรก็ตามเธอไม่สามารถเริ่มแผนได้จนกระทั่งลูกสาวของเธอจะโตกว่านี้อีกหน่อย
…
หลังจากได้รับประวัติส่วนตัวของหลิงเฉี่ยน โม่ถิงก็สั่งให้ฟังอวี้สืบเบื้องลึกเบื้องหลังของผู้หญิงคนนี้ ในที่สุดก็พบว่าประวัติของเธอใสสะอาดและมีเพียงเรื่องราวชีวิตที่ซับซ้อนเท่านั้น
“ประธานครับ หลินเฉี่ยนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังในต่างประเทศ จริงๆ แล้วการเป็นผู้ช่วยค่อนข้างดูไม่เหมาะสมไปหน่อยครับ”
“มีอะไรอีกไหม” โม่ถิงไม่สนใจว่าเธอจะจบมาจากที่ไหน
“ที่น่าสนใจคือหลินเฉี่ยนเป็นน้องสาวของเฉวียนจื่อเยี่ยชื่อดังที่กลับมาจีนเพื่อรางวัลเฟยเทียนโดยเฉพาะ แน่นอนว่าเธอเป็นเพียงลูกเลี้ยงเท่านั้น แต่เธอกลับไม่ได้สัมพันธ์ใกล้ชิดกับเฉวียนจื่อเยี่ยเท่าไร” ฟังอวี้ว่าพลางเลิกคิ้วขึ้น “ดูแล้วผู้หญิงคนนี้ยากที่จะรับมือ แต่ถังหนิงก็ยังตัดสินใจรับเธอเข้าทำงาน”
“อย่างไรก็ตามเรากำลังพูดถึงเรื่องของเฉวียนจื่อเยี่ย…”
“แล้วยังไงต่อ” โม่ถิงถามทั้งไม่ได้เงยศีรษะขึ้น
“เขาได้ชื่อว่าเป็นคุณชายเจ้าเสน่ห์แสนอันตราย ถึงผมจะไม่แน่ใจว่าทำไมเขาถึงค่อยๆ ลาวงการไป แต่อันที่จริงถ้าเป็นเรื่องของเสน่ห์แล้วเขาก็อยู่ในระดับเดียวกับคุณเลยครับ…”