แม้ว่าอากาศจะไม่ร้อนมากนักหากแต่ถังหนิงก็สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายมีเหงื่อเย็นๆ เกาะอยู่เต็มตัว
เขารู้สึกกลัว
ต่อหน้าทุกคน เขาใจกล้าและแข็งแกร่งเพียงไหน เขาไม่เคยกลัวใคร แต่ในตอนนี้กลับตกอยู่ในความหวาดกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่เป็นไรจริงๆ” ถังหนิงลืมความกลัวของตัวเอง ในเวลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอคือการปลอบชายคนนี้เพราะเธอไม่อาจทนเห็นเขาต้องกังวลเช่นนี้ได้
อย่างไรก็ตาม โม่ถิงยังคงกอดเธอเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ผ่านไปพอสมควร ในที่สุดเขาก็ปล่อยเธอเมื่อความรู้สึกชาเริ่มมาเยือนแขนของถังหนิง
“ไปดูอาการหลินเฉี่ยนกับสวี่ซินกันเถอะค่ะ”
ถังหนิงต้องการรู้ว่าทั้งสองคนบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ ทว่าโม่ถิงรั้งเธอไว้ “ลู่เช่อไปดูให้เรียบร้อยแล้วล่ะ”
ไม่ว่าอย่างไรหลังจากนี้สวี่ซินจะต้องชดใช้…
…
เช้าวันถัดมา ภายในบ้านตระกูลเฉวียน
หลังจากเมื่อคืน ข่าวเรื่องอุบัติเหตุของถังหนิงแพร่สะพัดไปทั่วทั้งกรุงปักกิ่ง เฉวียนจื่อเยี่ยไม่เคยสนใจว่าใครจะมีชื่อขึ้นพาดหัวข่าว แต่ในวันนี้พ่อบ้านของเขาได้พบวิดีโอหนึ่งในโลกออนไลน์และวางไว้ตรงหน้าเขา
“นายน้อยครับ… ดูนี่สิครับ”
เฉวียนจื่อเยี่ยเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ สายตาของเขาฉายแววดึงดูดน้อยๆ ให้ดูเหมือนลูกแมวที่เพิ่งตื่นนอน
“จะเอาเรื่องไร้สาระอะไรมาให้ผมดูอีกล่ะ” เฉวียนจื่อเยี่ยรับโทรศัพท์มาจากพ่อบ้านจะกดเล่นวิดีโอ แต่ทว่าสองนาทีหลังจากนั้น เขาก็พลันลุกขึ้นนั่งตรง “แล้วเธอไปเป็นผู้ช่วยของถังหนิงได้ยังไง มิน่าล่ะผมหาตัวเธอทั่วปักกิ่งแล้วก็ยังไม่พบเธอ”
“โทรไปสอบถามอาการตอนนี้ของเธอกับทางโรงพยาบาลหรือยังครับ”
“เรียบร้อยแล้วครับ นายน้อย” พ่อบ้านพยักหน้ารับ “คุณหนูรองโชคยังดี เธอได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีอะไรรุนแรงครับ”
เฉวียนจื่อเยี่ยหลุดหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินอย่างนี้ “เธอพยายามอย่างหนักที่จะซ่อนตัวจากผม แต่นี่มันอะไรกัน สุดท้ายผมกลับไม่ได้เป็นฝ่ายตามหาเธอหรอกเหรอ”
“นายน้อยวางแผนไว้ยังไงบ้างครับ”
“ไปโรงพยาบาลกันเถอะ” ทันทีที่พูดจบเขาก็ลุกขึ้นจากโซฟาก่อนคว้ากุญแจรถมาเซราติของตัวเองบนโต๊ะทานกาแฟ
เขากระโจนขึ้นรถหลังจากสวมแว่นกันแดด ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากผิดกับในใจที่กำลังร่ำร้องด้วยถ้อยคำมากมาย “ฉันท้าให้เธอหนีให้ซ่อนอีกครั้งเลย หลินเฉี่ยน”
หลินเฉี่ยนไม่ได้บาดเจ็บที่แขนเหมือนอย่างถังหนิง เธอได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะ แม้ว่าผลการสแกนสมองจะออกมาเป็นปกติแต่เธอก็หมดสติไปทั้งคืน และไม่ฟื้นขึ้นมาจนกระทั่งเช้าวันถัดมา
ลู่เช่อคอยดูอาการหลินเฉี่ยนอยู่ข้างเตียง ทันทีที่ฟื้นขึ้นมาเขาก็ส่งแก้วน้ำให้เธอ” คุณโอเคไหมครับ”
เธอพยักหน้ารับน้อยๆ เพราะหลับไปนานจึงใช้เวลาสักพักในการหาเสียงของตัวเอง
“ดีแล้วล่ะครับ”
“แล้วพี่หนิงกับผู้หญิงเสียสติคนนั้นล่ะคะ”
“พวกเขาไม่เป็นอะไรมากครับ” ลู่เช่อตอบ “คุณผู้หญิงแค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น แต่ว่าผู้หญิงเสียสติคนนั้นโชคไม่ดีขนาดนั้น” เขายักไหล่
ดีที่ถังหนิงไม่เป็นอะไร หลินเฉี่ยนหลับตาลงอีกครั้งหมายจะพักผ่อนสักหน่อย ทว่าในตอนนี้อยู่ๆ ผู้ชายที่สวมแว่นกันแดดก็เข้ามาในห้อง ลู่เช่อพูดตอบกลับขึ้นมาทันที “คุณครับ ผมคิดว่าคุณคงเข้าผิดห้องแล้วล่ะครับ”
เฉวียนจื่อเยี่ยถอดแว่นออกและชี้ไปที่หลินเฉี่ยน “ผมเป็นพี่ชายของเธอครับ”
ทันทีที่ลู่เช่อเห็นอีกฝ่ายก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร เขาเหลือบมองหลินเฉี่ยนก่อนออกจากห้องไปทันทีอย่างปล่อยให้พี่น้องได้มีความเป็นส่วนตัว
เมื่อลู่เช่อออกไป เฉวียนจื่อเยี่ยก็ปิดประตูก่อนจะล็อกเอาไว้ จากนั้นจึงเดินเข้ามาหาเธอและนั่งลงข้างเตียง “เธอสนุกกับซ่อนตัวจากฉันนักเหรอ”
เธอหลับตาลงอย่างไม่ต้องการจะพูดออกมาสักคำ
“หลินเฉี่ยน ฉันคิดว่าตัวเองคงใช้วิธีผิดๆ กับเธอ เธอถึงได้เจ็บปวดมาตั้งนานหลายปี” เขาไม่ได้โกรธเคืองแต่รอยยิ้มของเขาก็ดูไม่น่าไว้ใจนัก
เธอลืมตาขึ้นมาทันทีและจ้องมองไปที่เขา “นายจะทำอะไรกันแน่”
“หลังจากที่เธอออกจากโรงพยาบาล ย้ายเข้ามาอยู่กับฉัน…
“ใช่แล้ว! เป็นอย่างที่เธอกำลังคิดไว้นั่นแหละ เรามาอยู่ด้วยกันเถอะ!” เขาว่าขึ้นขณะที่หยิบโทรศัพท์ออกมา “ไม่อย่างนั้นฉันจะโทรหาแม่เดี๋ยวนี้และบอกเรื่องความสัมพันธ์ของเรา”
“นายกำลังจะฆ่าแม่ตัวเอง”
“ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ฉันก็เห็นแต่ตัวอย่างนี้แหละ” เฉวียนจื่อเยี่ยตอบกลับอย่างสบายๆ
“นายมันบ้าไปแล้ว”
“เธอบังคับให้ฉันทำแบบนี้เอง”
“นายกำลังต้อนฉันให้จมมุม!” หลินเฉี่ยนตะโกนออกมา “ฉันมีความสุขกับการทำงานเป็นผู้ช่วยของถังหนิง ฉันไม่อยากอยู่กับนาย อีกอย่าง อย่ามาขู่ฉันซะให้ยาก”
เขามองฝ่ายตรงข้ามอย่างเจ็บปวดเหมือนกับถูกฟันเข้าที่หัวใจ “ผ่านมาตั้งหลายปีเธอก็ยังทำตัวให้รับมือยากไม่เลิก”
“นายน่าจะรู้ตั้งนานแล้วนะ” เธอตอบกลับอย่างไม่อ้อมค้อม
“เธอไม่กลัวว่าฉันจะฆ่าตัวตายเหรอ” จู่ๆ เขาก็หัวเราะออกมา “อีกอย่างถ้าฉันตายเธอก็ไม่ต้องทนเจ็บปวดอีกต่อไป เธอคิดว่าอย่างไรล่ะ”
“นายไม่จำเป็นต้องตายหรอกแค่เลิกตามรังควานฉันสักที”
เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ของพวกเขายังคงย่ำอยู่ที่เดิมโดยไม่มีทีท่าว่าจะพัฒนาเลยแม้แต่น้อย หากแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ง่ายดายขนาดนั้น สิ่งที่พวกเขาทนทรมานมาทั้งหมดตลอดหลายปีมานี้คงจะไม่มีความหมาย
ในเวลาเดียวกัน ถังหนิงกำลังยืนอยู่ด้านนอกประตู เธอได้ยินทุกอย่างที่เกิดขึ้นด้านในห้องเกือบทั้งหมด อย่างไรก็ตามเฉวียนจื่อเยี่ยดูเหมือนจะหมดหวังกับหลินเฉี่ยน
หลังจากนั้นเธอเดินไปที่ห้องของสวี่ซิน เมื่อเห็นเจ้าตัวนั่งอยู่บนเตียงด้วยท่าทางเฉยชาจึงเดินเข้าไปหาและมองอีกฝ่าย
“เธอนี่โชคดีจริงๆ ที่ยังมีชีวิตรอดหลังจากนั้นมาได้” สวี่ซินยิ้มเยาะหลังจากเห็นว่าถังหนิงไม่ได้เป็นอะไรแต่อย่างใด
“เธอไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอกนะ” ถังหนิงว่าขึ้นอย่างเย็นชา “เธอมีอนาคตที่สดใสรออยู่แต่ก็ยังเลือกที่จะเสี่ยง…”
“ใช่! ฉันยอมเสี่ยง แล้วไงล่ะ” สวี่ซินหัวเราะ “ตอนนี้เธอพอใจแล้วสินะที่ฉันต้องใช้ชีวิตที่เหลือในคุกน่ะ”
“เธอเป็นคนทำตัวเอง” ถังหนิงเอ่ยก่อนที่จะหันออกจากไป ทว่าเสียงของอีกฝ่ายก็ดังขึ้นด้านหลัง “ถัง
หนิง เธอเก่งเรื่องการเก็บกวาดประวัติด่างพร้อยของตัวเองมาตลอด แต่มีบางอย่างที่เธอไม่มีทางจะลบมันได้”
ถังหนิงไม่เข้าใจสิ่งที่สวี่ซินบอกนัก และเธอก็ไม่ได้อธิบายให้ชัดเจน
สวี่ซินถึงขั้นขับรถชนคนอื่นแล้วดังนั้นเธอคงไม่รู้สึกผิดแต่อย่างใด
“จริงๆ ฉันก็แอบสงสัยว่าจะไปทำให้เธอไม่พอใจตอนไหน” ถังหนิงถามทั้งที่ไม่ได้หันกลับไป “เธอถึงได้ทุ่มเทมากขนาดนี้จนถึงขั้นเอาชีวิตของตัวเองมาเสี่ยง”
“ฉันรู้ว่าเธอรู้”
หลังจากได้รับคำตอบเช่นนี้ ถังหนิงก็จากไป
เธอจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ
ในเวลาเดียวกันสวี่ซินเผยรอยยิ้มเย้ยหยันลับหลังถังหนิง เธอกำลังจะทำลายถังหนิงให้สิ้นซาก
หลังจากเยี่ยมหญิงสาวทั้งสองคน ถังหนิงกลับมาที่ห้องของตัวเองและบอกให้ลู่เช่อรายงานบางอย่างให้โม่ถิงรู้ด้วยท่าทางจริงจัง
“คุณผู้หญิงครับ ผมรู้เรื่องบางอย่างมาครับ”
“เรื่องอะไรล่ะ” เธอถามอย่างสงสัยในขณะที่อีกฝ่ายยื่นข้อมูลมาให้ “สวี่ซินตรวจพบว่าเป็นโรคไบโพลาร์ครับ เธออารมณ์แปรปรวนอย่างรุนแรง”
ถังหนิงขมวดคิ้วมุ่น ในจังหวะที่เธอกำลังจะเอ่ยบางอย่าง อยู่ๆ พยาบาลก็เคาะประตูและพูดกับทั้งสามคน “คุณสวี่เพิ่งฆ่าตัวตายเมื่อสักครู่นี้ค่ะ”