กองถ่ายของ ‘มหาอสูร’ นั้นอยู่ท่ามกลางป่าในหุบเขา
เฉินซิงเยียนหลบอยู่ที่มุมเงียบๆ ทั้งวันทั้งคืน เพื่อฝึกฝนการแสดงของเธอให้คุ้นเคยกับหน้ากล้อง
ลึกๆ แล้วเธอยังคงรู้สึกว่าชีวิตนี้เธอเหมาะจะเป็นสตันต์มากกว่า แต่เพื่อให้ตัวเองสามารถปกป้องคนอื่นได้ เธอได้พบเป้าหมายใหม่ที่จะเผชิญหน้ากับกล้อง
ดังนั้นในทุกๆ เช้า เธอจะมาถึงที่กองถ่ายเป็นคนแรก และทุกคืนเธอจะเข้านอนเป็นคนสุดท้าย ซึ่งเป็นเรื่องน่าทึ่งที่ความสามารถด้านการแพทย์แบบมือสมัครเล่นของเธอทำให้เฉินซิงเยียนได้สร้างชื่อในกองถ่ายอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับหรือสมาชิกในกองถ่ายคนไหนก็ตาม หากมีใครเกิดอาการบาดเจ็บหรือปวด พวกเขาจะรีบมาให้เธอรักษาทันที
คืนนั้น เฉินซิงเยียนใช้ช่วงเวลาพักระหว่างเปลี่ยนฉากเพื่อดูบทของเธอ เนื่องจากในป่านั้นหนาวจัดและการถ่ายทำดำเนินล่วงมาถึงตอนกลางคืน ทีมงานจึงไม่ได้กลับไปที่โรงแรม ดังนั้นเมื่อหลินเซิงถ่ายทำเสร็จและเห็นเฉินซิงเยียนนั่งขดอยู่บนเก้าอี้ เขาก็รีบหยิบผ้าห่มจากผู้ช่วยมาคลุมให้เธอจากด้านหลัง
เฉินซิงเยียนหันกลับไปมองพร้อมรอยยิ้มเมื่อได้เห็นหลินเซิง “ขอบคุณค่ะเซิงเกอ”
“เธอนี่เจ้าเล่ห์จริงๆ รู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดเยอะ เลยคอยช่วยเหลือผู้กำกับเพื่อให้เขายกโทษให้ มิน่า เราถึงไม่เคยได้ยินเขาบ่นใครเลย” หลินเซิงชำเลืองตามองไปที่ผู้กำกับ เห็นได้ชัดว่าเสื้อหลายตัวที่เขาสวมและผ้าห่มที่เขาใช้มาจากเฉินซิงเยียน “ถ้าเป็นเรื่องการแสดงเธอยังห่างไกลถังหนิงมาก แต่ถ้าเป็นเรื่องคน เธอมีความสามารถที่จะเกลี้ยกล่อมแม้กระทั่งผู้ช่วยพรอปธรรมดา ซึ่งก็ถือว่าเป็นทักษะเหมือนกันนะ”
เฉินซิงเยียนรู้สึกผิดเล็กน้อย
“เซิงเกอ…”
“เธอไม่จำเป็นต้องฝึกอยู่หน้ากระจกทุกวันและคอยช่วยเหลือคนอื่นหรอกนะ เธอแค่ต้องปล่อยให้เป็นไปตามสัญชาตญาณ” หลินเซิงหยุดเธอจากสิ่งที่ทำอยู่ ก่อนที่เธอจะเข้าร่วมการออดิชั่น เขาได้ดูข้อมูลของเธอทั้งหมด เหตุผลที่ทำให้เขาตั้งใจเลือกเฉินซิงเยียนเป็นเพราะบทนี้ยากเกินไปสำหรับคนอื่นๆ แต่เขารู้ดีว่าเฉินซิงเยียนสามารถทำได้อย่างง่ายดาย
“ฮะๆ ขอบคุณค่ะเซิงเกอ”
“แปลกนะ เธอทั้งเจ้าเล่ห์แล้วก็ชอบฉวยโอกาส ฉันมักจะเหยียดคนแบบเธอ แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างฉันดูเหมือนจะไม่เกลียดเธอ ฉันว่ามันอาจจะเหมือนกับทีฉันเคยพูดก่อนหน้านี้ ว่ามันเป็นทักษะของเธอ พยายามเข้าล่ะ” หลินเซิงกล่าวก่อนจะตบลงบนบ่าของอีกฝ่ายและเดินจากไป
เฉินซิงเยียนกอดผ้าห่มบนหัวของเธอและกระโดดลิงโลดด้วยความดีใจหลังจากได้รับการยอมรับจากหลินเซิง
ทุกคนที่กองถ่ายมองเธอด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินเสียงดีใจของเธอ รวมถึงอันจื่อเฮ่าที่ยืนอยู่ห่างๆ มาพักหนึ่งแล้ว
อันจื่อเฮ่าไม่ได้เข้าไปหาเธอ เขาเพียงแค่ถือผ้าห่มอยู่ในมือและเดินจากไปเพราะเขาได้เห็นวิธีที่หลินเซิงห่วงฉินซิงเยียนแล้ว
กระนั้นเขากลับเข้าใจผิดว่าที่เฉินซิงเยียนกระโดดด้วยความดีใจเป็นเพราะการที่หลินเซิงปฏิบัติกับเธอ
ดังนั้นอันจื่อเฮ่าจึงไม่ได้บอกเฉินซิงเยียนว่าเขามาหา เขาเพียงแค่แอบเข้ามาและแอบกลับออกไป
เฉินซิงเยียนไม่ทันเห็นอันจื่อเฮ่า แต่เมื่อกลับถึงบ้านหลังจากคำคืนอันยาวนาน ก็สังเกตเห็นลิ้นจี่สดชามใหญ่ตั้งอยู่กลางอะพาร์ตเมนต์ของเธอ อันจื่อเฮ่ามาเยี่ยมเธออย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้เธอจึงโทรไปหาเขา “หยุดทำตัวเป็นพระเอกได้แล้ว ทำไมนายถึงไม่บอกฉันว่านายแวะมาหา”
“เพราะฉันไม่อยากบอก” อันจื่อเฮ่าตอบด้วยน้ำเสียงขี้เกียจขณะที่เขาเอนตัวนอนอยู่บนเตียง
“ทำไมนายถึงทำตัวประหลาดตั้งแต่เช้าแบบนี้นะ ไปตายซะ!” เฉินซิงเยียนตะโกนก่อนที่จะวางสายโทรศัพท์ด้วยความโมโห
อันจื่อเฮ่ากลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้ทำตัวหงุดหงิดเวลาอยู่ใกล้ๆ เฉินซิงเยียนก็ตาม
แต่เขารู้สึกว่ามันเป็นทางดีที่สุด…
…
ยามบ่ายในอีกสองวันต่อมา
ถังหนิงมาไห่รุ่ยเป็นเพื่อนโม่ถิง โม่ถิงกำลังจะเดินทางด้วยเครื่องบินตอนห้าโมงเย็นของวันนั้นและคือนนั้นเขาจะไม่ได้อยู่เคียงข้างเธอ
เธอลืมไปแล้วว่าเมื่อไหร่คือครั้งสุดท้ายที่พวกเธอแยกจากกัน นับจากวันที่เธอตั้งท้อง นอกจากการไปทำงานแล้ว โม่ถิงก็ทุ่มเทเวลาทั้งหมดของเขาให้เธอ พวกเขาแทบไม่เคยอยู่เพียงลำพังเลย เมื่อคิดเช่นนั้นหัวใจเธอก็เริ่มเจ็บแปลบ
ภายใต้แสงอาทิตย์ ผู้ชายของเธอดูหล่อเหลาอ่อนโยน โดยเฉพาะดวงตาที่ส่องประกายแวววาวดังเพชรของเขา ทำให้เขายิ่งดีเจิดจรัสทรงเสน่ห์อย่างมาก
หลังจากนั้น ลู่เช่าก็เข้ามาภายในห้องทำงานพร้อมกับเอกสารจำนวนหนึ่ง นอกจากเอกสารที่ต้องการลายเซ็นของโม่ถิงแล้ว ลู่เช่อยังมองบัตรเชิญฉบับหนึ่งให้เขาด้วย “ท่านประธานครับ ประธานได้รับเชิญให้ไปร่วมงานมอบรางวัลนักเขียนบทภาพยนตร์นานาชาติจีเอ็กซ์อี ซ่งซินชนะรางวัลใหญ่ในงานนี้ด้วย ถึงเธอจะเพิ่งเซ็นสัญญากับไห่รุ่ย แต่ทางผู้จัดงานได้ส่งคำเชิญมาถึงท่านโดยตรงด้วย ประธานจะ…”
โม่ถิงส่งสัญญาณให้ลู่เช่อส่งบัตรเชิญนั้นไปให้ฟังอวี้โดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองอีกฝ่าย “นายควรจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าควรจะเอาของแบบนี้ให้ใคร”
“ขออภัยด้วยครับท่านประธาน”
“อย่าลืมฐานะของฉันสิ…”
โม่ถิงกำลังหมายถึงตัวตนของเราในฐานะผู้จัดการส่วนตัวของถังหนิง อีกอย่างเขายังตระหนักดีว่าบรรดาศิลปินสาวๆ ในเอเจนซี่มักจะพยายามหาข้ออ้างในการสร้างความประทับใจต่อหน้าเข้า
“รองประธานฟังดูเหมือนจะพยายามหลีกเลี่ยงข้อกังขาอยู่เช่นกัน เขาเลยบอกให้ผมมาถามประธานครับ”
เมื่อมองดูแล้ว ชายทั้งสองต่างจัดการความสัมพันธ์ระหว่างผู้หญิงคนอื่นได้เป็นอย่างดีเพื่อความสบายใจของผู้หญิงของพวกเขา
ถังหนิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“ถ้าเขาไม่ไปก็เอาบัตรเชิญนั่นทิ้งถังขยะไปซะ” โม่ถิงสั่ง
ในฐานะสมาชิกอย่างไม่เป็นทางการของสมาคมคนรักเมีย ลู่เช่อไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับปัญหาแบบนี้เช่นนั้น ดังนั้นเขาจึงโยนบัตรเชิญนั้นลงถังขยะโดยตรง
“นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคุณจัดการกับเรื่องแบบนี้นะ”
“ถ้าอย่างนั้น คุณเชื่อใจผมไหมล่ะ” นี่เป็นครั้งแรกที่โม่ถิงปรึกษาถังหนิงเกี่ยวกับประเด็นแบบนี้เช่นกัน
ถังหนิงมองลึกเข้าไปในดวงตาทั้งสองข้างของโม่ถิง ทั้งคู่แต่งงานกันมานาน แต่ถังหนิงไม่เคยแสดงท่าทีหึงหวงเขากับผู้หญิงคนอื่นเลย เพราะโม่ถิงไม่เคยทำอะไรที่ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ
เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นตรงหน้าเป็นตัวอย่างได้ดีเลย!
ถังหนิงไม่ตอบ ซึ่งโม่ถิงเองก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน ถังหนิงก็ตระหนักว่าโม่ถิงจงใจรอจนใกล้ถึงเวลาขึ้นเครื่องก่อนที่เขาจะเดินทางออกจากไห่รุ่ย เพียงเพื่อที่เขาจะได้ใช้เวลาร่วมกับเธอมากขึ้นอีกหน่อย
“ใครคือซ่งซิน” ถังหนิงเอ่ยถามลู่เช่อหลังจากโม่ถิงเดินทางออกไปแล้ว
ลู่เช่อเดินนำถังหนิงไปยังที่จอดรถชั้นใต้ดินขณะที่เขาตอบ “ศิลปินที่เพิ่งเซ็นสัญญาใหม่ครับ”
“ใช่คนที่ถูกเรียกว่า ‘อาวุธลับ’ หรือเปล่า”
ลู่เช่อหันกลับมาด้วยความประหลาดใจ “คุณผู้หญิงมีแหล่งข่าวที่ดีเหมือนกันนะครับ ศิลปินคนใหม่คนนี้มีพรสวรรค์จริงๆ เธอเพิ่งจะชนะรางวัลนักเขียนบทภาพยนตร์นานาชาติมาด้วย…”
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ทั้งสองได้เดินมาถึงที่จอดรถ กระนั้น ขณะที่ถังหนิงกำลังจะก้าวขึ้นรถของเธอ เธอได้ยินน้ำเสียงที่มีความมั่นใจดังก้องมาจากด้านหลัง “นับเป็นเกียรติที่ได้รับการกล่าวถึงโดยถังหนิงผู้มีชื่อเสียงนะคะ”
ถังหนิงหันกลับไปก็พบกับหญิงสาวผมลอนยาวในชุดแจ็กเกตสีดำกำลังยืนอยู่ด้านหลังพวกเธอด้วยท่าทีดูไม่เชื่อง
เพราะถึงอย่างไรเธอก็เป็นศิลปินคนหนึ่งของไห่รุ่ย ดังนั้นท่าทางของเธอจึงดูมีเสน่ห์อย่างมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
ถังหนิงไม่ตอบ พูดให้ถูกคือเธอไม่ชอบเวลาที่มีคนสอดเข้ามาในบทสนทนาแบบนี้
แน่นอนว่าผู้หญิงคนนั้นมองดูถังหนิงอย่างสนใจมาก ผ่านไปสักครู่ เธอก็พูดออกมา “แต่ฉันคงต้องพูดว่าคุณเริ่มมีอายุแล้วนะคะ หลังจากคลอดลูกคุณคงจะทำได้แค่เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้โฆษณาผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กละมั้ง”