จู้ซิงมีเดีย
นี่คือเอเจนซี่ที่ตั้งโดยถังหนิง หลงเจี่ยและหลินเฉี่ยน ซึ่งเป็นสตูดิโอเล็กๆ บริหารงานเป็นเอกเทศจากไห่รุ่ย
แต่เพื่อให้เอเจนซี่นี้เกิดขึ้น ก่อนหน้านี้ถังหนิงได้ตกลงที่จะเซ็นสัญญาฉบับหนึ่งกับไห่รุ่ยซึ่งระบุว่าเธอยินยอมหากพวกเธอสามารถสร้างศิลปินที่ประสบความสำเร็จขึ้นมาได้ พวกเธอจะส่งต่อศิลปินคนนั้นให้กับไห่รุ่ย พูดง่ายๆ คือเธอเป็นเหมือนแมวมองหรือนักล่าหัวนั่นเอง
นอกจากนี้ ไห่รุ่ยยินยอมที่จะไม่แทรกแซงกิจกรรมต่างๆ ของศิลปิน แต่ศิลปินจะต้องนำสิ่งที่ไห่รุ่ยสนใจมาพิจารณาด้วย
ข้อสุดท้ายคือไห่รุ่ยให้เวลาถังหนิงเพียงหนึ่งปีเท่านั้น หากเธอไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในระยะเวลาหนึ่งปี สัญญาที่เซ็นไว้ทั้งหมดจะถือเป็นโมฆะโดยอัตโนมัติและการลงทุนที่ผู้หญิงทั้งสามทำไว้จะถือเป็นความเสียหายส่วนตัว ไห่รุ่ยจะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น
สัญญาดังกล่าวรัดกุมมากเนื่องจากโม่ถิงคาดหวังในตัวผู้หญิงของเขา
เขาเชื่อว่าไม่มีอะไรที่ถังหนิงทำไม่ได้
“คุณต้องเตรียมตัวให้ดี ในช่วงแรกอย่าว่าแต่หางานเลย ถ้าไม่ได้เซ็นสัญญากับศิลปินคนไหนเลยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อีกอย่างคุณไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ชื่อไห่รุ่ยในการทำงาน”
“ฉันรู้เรื่องนั้นดีค่ะ” ถังหนิงตอบ “ถ้าฉันไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน ฉันคงไม่ขอเรื่องแบบนี้กับคุณหรอก”
พูดจบ ถังหนิงก็ขยับตัวเข้าใกล้โม่ถิงก่อนจูบลงที่ซอกคอเขา
นี่เป็นสัญลักษณ์แทนความเข้าใจระหว่างคู่รักทั้งสองคนและแสดงให้เห็นว่าถังหนิงรักการได้อยู่ใกล้ชิดกับโม่ถิง
ถ้าโม่ถิงทำให้ทุกอย่างง่ายเกินไปสำหรับเธอ เธอคงรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่มีความท้าทายอะไรเลย ดังนั้นสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ถือว่าถูกต้องแล้ว
ตอนแรกเธอไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเอเจนซี่นี้โดยตรง เธอปล่อยให้หลงเจี่ยและหลินเฉี่ยนเป็นคนจัดการทุกอย่าง เพราะเรื่องเซอร์ไพรส์ควรเก็บไว้หลังสุด…
อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโม่ถิงนับจากนี้จะกลายเป็นพันธมิตรในสนามรบ ไม่เพียงแค่เธอจะได้รับการปกป้องจากเขาเท่านั้น ตอนนี้เธอยังสามารถแบ่งผลประโยชน์กลับคืนให้เขาได้ด้วย
ที่สำคัญที่สุดคือการที่ตอนนี้เธอขยับตัวมาอยู่เบื้องหลัง เธอจะได้มีเวลาให้กับโม่ถิงและเด็กๆ มากขึ้น…
“ถ้างั้น…” โม่ถิงช้อนคางของถังหนิงและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกอันทรงเสน่ห์ “… ผมจะตั้งตารอดูโชว์ของคุณนะครับ จากนี้ไปถ้าคุณมีอะไรอยากถามผม คุณต้องจ่าย…”
“เช่น?”
“เช่น…” โม่ถิงไม่พูดอะไรอีก เขาแค่ใช้คางของตัวเองส่งสัญญาณไปทางเตียงนอน
คู่รักทั้งสองเข้าใจกันและกันเป็นอย่างดีก่อนที่ถังหนิงจะระเบิดหัวเราะออกมา นี่โม่ถิงจะใช้วิธีการร้ายลึกกับเธออย่างนั้นหรือ
…
เดิมทีลัวเซิงเป็นนักร้องหลักของวง แต่ตอนนี้เขาถูกบังคับให้กลับบ้านเพื่อดูแลร้านค้าของพ่อตัวเองและใช้แรงงานไปวันๆ เพื่อรอให้ถึงวัยอันควร แต่งงาน และยอมรับชะตาชีวิตของตัวเอง
หลงเจี่ยได้ทำการสืบข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของลัวเซิง พบว่าเขายังติดสัญญากับเอเจนซี่เก่าอยู่อีกสองปี พูดง่ายๆ คือเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอะไรได้เลยอีกถึงสองปี ยิ่งที่สุดคือเขาไม่สามารถเซ็นสัญญากับเอเจนซี่อื่นได้ เมื่อระยะเวลาสองปีสิ้นสุดลง เอเจนซี่คงทำลายชื่อเสียงของเขาไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
นี่เป็นวิธีทั่วไปที่เอเจนซี่ต่างๆ ใช้กัน ดูคล้ายกับการต่อสู้กันเองในฮาเร็มเพื่อให้ได้เป็นที่รักใคร่ขององค์จักรพรรดิ
ในวันที่หลินเฉี่ยนและหลงเจี่ยออกไปพบลัวเซิง เขากำลังซื้อผักอยู่ในตลาดให้แม่ของเขา
ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนซื่อตรงและทุ่มเททำงานหนัก
หลงเจี่ยเดินเข้าไปหาลัวเซิงโดยสวมแว่นกันแดดก่อนยื่นนามบัตรให้เขา “ถ้านายอยากกลับเข้าวงการละก็ มาที่บาร์อี้จิงตอนบ่ายสามวันนี้”
ลัวเซิงรับนามบัตรนั้นไว้ด้วยความงุนงง สิ่งเดียวที่เขาเห็นในนามบัตรใบนั้นคือตัวอักษรขนาดใหญ่ระบุว่า ‘จู้ซิงมีเดีย’ ภายใต้ชื่อนั้นมีประโยคที่เขียนด้วยตัวอักษรสีทอง ‘หากต้องการทำลายศัตรูเก่า’
ลัวเซิงไม่เคยได้ยินชื่อเอเจนซี่นี้มาก่อน คนพวกนี้อาจจะเป็นพวกต้มตุ๋นก็ได้ ขณะที่เขากำลังจะโยนนามบัตรนั้นทิ้ง แม่ของเขาได้ห้ามเขาเอาไว้ “ลูกกำลังจะทำอะไรน่ะ”
“แม่ มันเป็นพวกต้มตุ๋นนะ”
“จะเป็นพวกต้มตุ๋นได้ยังไง ลูกชายของแม่มีพรสวรรค์ ลูกก็สมควรจะถูกแมวมองทาบทามไม่ใช่เหรอ แม่จะไปกับลูกตอนบ่ายนี้เอง ถ้าคนพวกนั้นเป็นนักต้มตุ๋นจริงๆ แม่จะส่งมันไปลงนรกเอง”
เดิมทีลัวเซิงวางแผนจะไม่รับข้อสเนอ แต่เขาไม่อยากให้แม่ของเขาต้องผิดหวัง สุดท้ายเขาจึงพยักหน้ารับ
ดังนั้นเมื่อถึงเวลาบ่ายสามโมงของวันนั้น สองแม่ลูกก็เดินทางมาถึงบาร์อี้จิง สิ่งที่น่าประหลาดใจคือผู้หญิงสองคนนั้นเลือกสถานที่ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับที่ตั้งของเอเจนซี่ของเขา
ลัวเซิงรู้สึกราวกับตัวเองเป็นคนนอก แต่เมื่อคิดถึงตอนที่สมาชิกคนอื่นๆ ในวงเยาะเย้ยและโจมตีเขาทำให้เขาเร่งฝีเท้าขึ้น
คนที่รอเขาอยู่คือหลงเจี่ยและหลินเฉี่ยน
มีเพียงสองคนเท่านั้น
“พวกคุณเป็นนักต้มตุ๋นใช่ไหม” ลัวเซิงไม่ทนและไม่คาดหวังอะไรกับเอเจนซี่ที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนแบบนี้
กระนั้นหลงเจี่ยถอนแว่นกันแดดของเธอออกก่อนเคาะที่โต๊ะขณะพูดขึ้น “ฉันชื่อหลงมั่น เรียกฉันว่าหลงเจี่ยแล้วกัน”
“ผมไม่รู้จักคุณ”
“นายไม่จำเป็นต้องรู้จักฉันหรอก” หลงเจี่ยหยิบเช็คฉบับหนึ่งขึ้นมาและวางมันบนโต๊ะ “ตอนนี้เรากำลังให้โอกาสนายได้เดินออกมาจากเอเจนซี่เก่าและยกเลิกสัญญานายซะ นี่คือค่าชดเชยทั้งหมดของนาย นายจะเอามันไปปาใส่หน้าพวกนั้นก็ได้”
ลัวเซิงมองดูเช็คด้วยความประหลาดใจขณะที่หัวใจของเขาเต้นรัว “พวกคุณต้องการอะไร”
“พวกเราแค่ต้องการให้นายเซ็นสัญญากับเรา…” หลงเจี่ยยิ้ม “แต่ตอนนี้ฉันยังให้รายละเอียดอะไรไม่ได้ ดังนั้นตอนนี้นายมีแต่เพียงสองตัวเลือกคือทิ้งโอกาสนี้แล้วกลับไปซะ หรือรับเช็คนี่ไปยกเลิกสัญญาปัจจุบันแล้วมาเซ็นสัญญากับเรา”
ลัวเซิงขมวดคิ้วจนเห็นได้ชัดว่าเขากำลังลังเล
คงเป็นเรื่องโกหกแน่ถ้าเขาจะบอกว่าเขาไม่ได้เกลียดเอเจนซี่ของตัวเอง แต่…
…เขาไม่เคยได้ยินชื่อจู้ซิงมีเดียมาก่อนเลยจริงๆ
หลงเจี่ยรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังลังเล แต่เธอไม่คิดจะให้ข้อมูลอะไรกับเขาอีก หากชายคนนี้ไม่มีความศรัทธาและความเชื่อมั่นมากพอก็ไม่มีความสำคัญอะไรให้เซ็นสัญญากับเขา
“ตัดสินใจซะ”
ลัวเซิงกุมมือแม่ของเขาขณะที่ฝ่ามือทั้งสองของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เห็นได้ชัดว่าแม่ของลัวเซิงเป็นคนชอบความเสี่ยง ไม่ว่าพวกเขาจะน่าสังเวชเพียงใด พวกเขาก็พร้อมที่จะประกาศสงครามกับสัตว์เลือดเย็นที่อยู่อีกฟากของถนน
ดังนั้นเธอจึงมองลัวเซิงด้วยความมั่นใจ
ลัวเซิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายเขาหยิบเช็คใบนั้นขึ้นมาก่อนเดินข้ามถนนไปอย่างสง่าผ่าเผยโดยมีผู้เป็นแม่อยู่เคียงข้าง…
“เฮ้ นั่นลัวเซิงที่เราไม่ได้เห็นหน้ามาหลายวันนี่นา”
“ลัวเซิง คิดเรื่องมานอนกับฉันสักคืนแล้วใช่ไหม”
“ลัวเซิง นายมาทำอะไรที่นี่”
หลังก้าวเข้าไปในบริษัท ลัวเซิงก็เจอกับความเย้ยหยันและป้ายสีทุกรูปแบบ แต่มันไม่สำคัญอีกแล้ว
“ลัวเซิง เราเริ่มอัดอัลบั้มที่สองแล้วนะ นายมาที่นี่เพื่อแสดงความยินดีกับพวกเราใช่ป้ะ” สมาชิกในวงเอสเอ็มวายหัวเราะเสียงสูง