เพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาก่อเรื่องวุ่นวายอีก หลงเจี่ยจึงได้จ้างบอดีการ์ดสองคนมาเพื่อพ่อแม่ของลัวเซิงโดยเฉพาะ ชายสองคนนี้จะทำตัวเป็นพนักงานในร้านแต่ในความจริงแล้วพวกเขาทำให้คนอื่นพิการได้ภายในพริบตาเดียว
แน่นอนว่าสมาชิกเอสวายเอ็มทนไม่ได้ที่ต้องตกเป็นรอง ยิ่งพวกเขาเป็นฝ่ายที่รังแกลัวเซิงมาโดนตลอด ครั้งนี้จะยอมให้อีกฝ่ายทำตัวเหนือกว่าไปได้อย่างไร
ดังนั้นพวกเขาจึงจ้างให้ชายสามคนไปสร้างความวุ่นวายที่ร้านของลัวเซิงอีกครั้ง โชคร้ายที่ทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปเหยียบในร้านก็ถูกบอดีการ์ดที่หลงเจี่ยจ้างเอาไว้เตะออกมา นอกจากนั้นยังถูกลากเข้าไปทำร้ายในซอยร้างอีกด้วย
“ถ้าพวกแกกลับไปทำร้ายไอ้สามคนนั้นที่จ้างแกมา ฉันจะจ่ายให้พวกแกสามเท่าจากที่พวกมันให้แก ว่ายังไงล่ะ” บอดีการ์ดทั้งสองคนหลอกล่อ “เราให้เงินมัดจำก่อนก็ได้”
ชายสามคนนั้นถูกทำร้ายอย่างหนัก แต่ทันทีที่ได้ยินว่าอีกฝ่ายเสนอเงินให้ถึงสามเท่าก็ตกลงทันที “พูดจริงเหรอ”
“จริงสิ”
ระหว่างที่คนชั่วช้าทั้งสามคนกำลังรอฟังข่าวดี พวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อทันทีที่ผู้ชายที่พวกเขาจ้างกลับมาทำร้ายพวกเขาแทน
แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่ใช่บอดีการ์ดมืออาชีพ แต่พวกเขาก็มีประสบการณ์การต่อสู้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ทั้งสามคนจะต่อกรกับอีกฝ่ายได้
ชายทั้งสามคนได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่าหลังจากมาถึงโรงพยาบาลพวกเขากลัวที่จะโทรแจ้งตำรวจหรือทำให้เป็นเรื่องใหญ่ หากคนอื่นรู้เรื่องนี้เข้าก็จะพบว่าจริงๆ แล้วพวกเขาเป็นฝ่ายที่พยายามไปหาเรื่องพ่อแม่ของลัวเซิงก่อน
หากมันเกิดขึ้น สถานการณ์ที่แย่แล้วคงจะแย่ลงไปอีก
“ฉันไม่คิดเลยว่าลัวเซิงจะโหดร้ายได้ขนาดนี้”
“ตอนนี้ใครบางคนขึ้นมาโด่งดังและมีเงินมาจ้างบอดีการ์ดได้ ไอ้เวรนั้นน่าทึ่งจริงๆ แต่ฉันจะเป็นคนทำลายมันเอง”
“ด้วยความสามารถของนายน่ะเหรอ”
“อย่าให้ฉันรู้ว่ามันเซ็นสัญญากับเอเจนซี่ไหนก็แล้วกัน!”
ไม่ใช่เพียงสมาชิกเอสวายเอ็มหากแต่เอเจนซี่ของพวกเขาก็กำลังพยายามหาข้อมูลของเอเจนซี่ปัจจุบันของลัวเซิงเช่นกัน พวกเขาพบว่าเอเจนซี่นั้นมีชื่อว่า ‘จู้ซิงมีเดีย’ ว่าแต่อยู่ๆ เอเจนซี่นี้โผล่มาจากไหนกัน
ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อของพวกเขามาก่อน
“เพราะเป็นเอเจนซี่ที่ไม่ได้โด่งดังอะไร น่าจะจัดการได้ไม่ยาก พวกเขากล้ามาแย่งตัวศิลปินของเราได้ยังไง ฉันจะแสดงให้รู้ว่าใครกันแน่ที่เหนือกว่า!” มีเจี่ยเอ่ยด้วยความมั่นใจ “ฉันจะใช้โอกาสนี้แย่งสัญญาลัวเซิงกลับมา”
…
ในเวลาเพียงสั้นๆ ลัวเซิงทำผลงานออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ในกลางดึกคืนหนึ่งโม่ถิงจึงอดไม่ได้ที่จะเปิดแชมเปญเพื่อเป็นการฉลองให้กับถังหนิง
“คุณได้ชัยชนะแรกมาแล้วและก็ทำได้ดีด้วย”
“คุณโม่คะ คุณกำลังจะบอกว่าฉันยังห่างจากการเป็นอย่างไห่รุ่ยอีกหลายขุมเหรอคะ” ถังหนิงยกคิ้วขึ้นขณะที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร “ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอน แต่จะว่าไปแล้วฉันสังเกตได้ว่าคุณน้ำหนักขึ้นนะคะ”
“จริงเหรอ ต้องขอบคุณภรรยาของผมที่ดูแลผมอย่างดี”
ในขณะที่ถังหนิงได้ใช้เวลาที่บ้านมากขึ้น เธอก็พบว่าตัวเองใช้เวลาครึ่งหนึ่งไปกับการทดลองสูตรอาหารต่างๆ แม้ว่าเดิมทีทักษะการทำอาหารของเธอจะไม่ได้แย่ก็ตาม
ดังนั้นในช่วงนี้พนักงานของไห่รุยจึงมักเห็นประธานโม่ถือกล่องอาหารกลางวันมาจากบ้านทุกวัน ทุกคนต่างอิจฉาจนพบว่าแค่เห็นก็ชวนให้อยากกินจนน้ำลายสอ พวกเขาจึงสันนิษฐานได้ว่าถังหนิงได้ผันตัวมาเป็นแม่บ้านหลังจากเรื่องของสวี่ซิน
“ถ้าคุณอ้วนขึ้นมากกว่านี้ ฉันจะไม่ต้องการคุณอีกแล้วนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้โม่ถิงก็อุ้มถังหนิงไว้บนโต๊ะกินข้าวและจับคางของอีกฝ่ายไว้ “ไหนลองพูดแบบเมื่อกี้อีกทีสิครับ”
ถังหนิงยกยิ้มและโอบแขนรอบคอของเขาอย่างยอมจำนน “ทำไมคุณไม่ลงโทษฉันแทนล่ะคะ”
“ผมกำลังจะทำแบบนั้นเลยครับ” ทันทีที่พูดจบ โม่ถิงปลดกระดุมเสื้อ ดูเหมือนว่าเขาต้องการจะแสดงให้ภรรยาของตัวเองดูว่าไม่ว่าเขาน้ำหนักขึ้นจริงหรือไม่ แต่ในความเป็นจริงแล้วเขาก็ยังคงทรงพลังและแข็งแกร่งเหมือนเช่นเคย
…
หลังจากคืนนั้น หลงเจี่ยต่อสายหาถังหนิง “ผู้จัดการที่ชื่อมีเจี่ยมาวนเวียนแถวๆ นี้เพื่อสืบเรื่องเอเจนซี่ของเราค่ะ ฉันมั่นใจว่าเธอจะมาหาเราในเร็วๆ นี้แน่”
“ดีเลย…” ถังหนิงตอบขณะที่ช่วยจื่อเฉินถอดเสื้อผ้า “คงจะดีกว่าถ้าเธอจะไปพบในขณะที่ลัวเซิงอยู่ด้วย”
เพื่อให้ได้รับความภักดีจากใครสักคนก็ต้องให้พวกเขาในสิ่งที่พวกเขาต้องการ
ผู้จัดการคนนี้กดขี่ข่มเหงลัวเซิงมานาน ดังนั้นเขาต้องเดือดพล่านไปด้วยความโกรธเกลียดแน่ นั่นเป็นสิ่งซึ่งควบคุมไม่ได้ที่ถังหนิงและหลงเจี่ยต้องระวัง
“รับทราบค่ะ ฉันจะตั้งใจแสดงความสามารถของฉันต่อหน้าลัวเซิงเป็นอย่างดี และทำให้มีเจี่ยรู้ว่าผู้จัดการที่ดีเขาเป็นกันยังไง” หลงเจี่ยหัวเราะ “ตอนนี้พอแค่นี้เถอะค่ะ ราตรีสวัสดิ์นะคะ”
เพื่อให้ผู้หญิงคนนั้นหาเธอเจอ หลงเจี่ยจึงปล่อยที่อยู่ของเอเจนซี่ให้คนที่อยู่ในวงการได้รู้
เธอต่อสายหาลัวเซิงก่อนที่จะเข้านอน “มาคุยเรื่องข้อตกลงที่บริษัทพรุ่งนี้ตอนบ่ายด้วยล่ะ”
นี้มันช่างเหมาะเจาะจริงๆ!
อย่างไรก็ตามลู่เช่อเกิดอาการหึงขึ้นมาเล็กน้อย “ดึกป่านนี้แล้วทำไมคุณต้องโทรหาศิลปินในสังกัดด้วยล่ะ”
หลงเจี่ยรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่จึงมองอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม “หึงเหรอ”
“เปล่านี่ ก็แค่… ต่อไปคุณควรจะโทรหาเขาให้เร็วกว่านี้…”
“นายหึงก็ยอมรับมาเถอะน่า”
“ก็ใช่ นิดหนึ่งน่ะครับ” ลู่เช่อไม่อาจปฏิเสธได้ “ถึงยังไงศิลปินที่คุณดูแลอยู่ก็รูปร่างหน้าตาดีอยู่ไม่น้อยเลยไม่ใช่เหรอครับ”
“ฉันเป็นแม่คนแล้วนะ นายคิดอะไรของนายเนี่ย” หลงเจี่ยตีลู่เช่อเข้าที่อก “อีกอย่างในสายตาฉัน นายจะเป็นคนซื่อบื้อที่ฉันชอบตลอดไป ไม่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนมันไปได้”
เขารู้ว่าเธอไม่ใช่คนแบบนั้น เขาก็แค่หึงเล็กน้อยเท่านั้นเอง
“อีกอย่าง ฉันรู้ว่าตัวเองไม่มีทางเก่งได้เท่าคุณ”
“ดังนั้นแม้ว่าท่านประธานจะบอกผมว่าไม่ต้องช่วยคุณผู้หญิง… แต่ผมก็รู้ว่าเขาไม่เคยพูดว่าไม่ให้ช่วยคุณ…”
“ฮ่าฮ่า… สามีที่แสนดีของฉัน!” หลงเจี่ยไม่ได้สนใจศักดิ์ศรีของตัวเอง เธอรู้ว่าในวันหนึ่งตัวเองอาจต้องการความช่วยเหลือจากลู่เช่อ
…
เรียกร้องนักใช่ไหม โดนตบหน้าไปก็แล้วกัน
หลงเจี่ยชอบเวลาที่ศัตรูปรากฏตัวต่อหน้าเธอ โดยเฉพาะตอนที่พวกเขาประเมินตัวเองไว้สูงเกินไป
ดังนั้นเธอจึงตรงไปยังบริษัทแต่เช้าเพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามต้องคอยเก้อ แปดโมงเช้าเป็นเวลาที่ดูจริงใจเพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ
ไม่นานหลังจากนั้น ลัวเซิงก็มาถึงเช่นกัน เมื่อเห็นว่าหลงเจี่ยกำลังฮัมเพลงกับตัวเองอย่างมีความสุข เขาก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมา “วันนี้มีเรื่องอะไรดีๆ เกิดขึ้นเหรอครับ ทำไมคุณดูอารมณ์ดีจังเลย”
“ไม่มีอะไรหรอก” เธอวางรายละเอียดงานโฆษณาไว้ตรงหน้าอีกฝ่าย “ถึงแม้ว่านายจะมีตัวเลือกมากแต่ก็รับงานทุกอย่างไม่ได้หรอกนะ นายต้องเลือกงานที่เหมาะกับตัวเอง ลองดูงานโฆษณาพวกนี้และเลือกที่ตัวเองชอบมาอันหนึ่งสิ”
ลัวเซิงมองไปที่ตัวเลือกต่างๆ ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นแชมพูหรืออาหาร ที่แย่ที่สุดคือรายละเอียดยังดูไม่น่าสนใจสุดๆ
“ผม… ปฏิเสธทั้งหมดได้ไหมครับ”
“ทำไมล่ะ” หลงเจี่ยส่งยิ้มอย่างมีความนัยให้
แต่ก่อนที่ลัวเซิงจะได้ตอบคำถาม เสียงเคาะประตูของเลขาของหลงเจี่ยก็ดังขึ้น “คุณหลงเจี่ย คนที่คุณรออยู่มาถึงแล้วค่ะ”