“ถ้าผมตกลง แม่รับปากว่าจะคืนลูกมาให้ผมและไม่มาหาเรื่องพวกเราอีกไหมครับ” ลู่เช่อถาม
“เราเซ็นสัญญากันเลยก็ได้”
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมอยากจะตัดความสัมพันธ์แม่ลูกของเราอย่างเด็ดขาด” ลู่เช่อว่าขึ้น “พรุ่งนี้เก้าโมงเช้า ผมจะไปเจอที่หน้าโรงพยาบาล พาลูกของผมมาด้วย นับตั้งแต่พรุ่งนี้ไป คุณไม่ใช่แม่ของผมอีกต่อไป ออกไปได้แล้วครับ”
คุณนายลู่ไม่คาดคิดว่าลูกชายของเธอจะทำถึงขนาดนี้
อย่างไรก็ตาม เธอก็คิดว่าไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว จึงหันเดินจากไปด้วยท่าทางทะนงตัว
เมื่อเห็นบ้านของตัวเองอยู่ในสภาพเละเทะ ลู่เช่อจึงไม่ได้ตรงไปที่ห้องนอนเพื่อปลอบใจภรรยาของเขาในทันที เขากลับจัดการเก็บกวาดก่อนเคาะประตูและเรียกเธอ “เสี่ยวมั่น”
“ลูกสาวฉันอยู่ที่ไหน” หลงเจี่ยถามขณะเปิดประตูออกมา
“ผมตกลงให้น้ำเชื้อของตัวเองกับคุณลู่แล้ว เธอจะได้เอาไปทำเด็กหลอดแก้วได้ เธอจะคืนลูกสาวมาให้เราเป็นการตอบแทนและถือเป็นการตัดขาดความสัมพันธ์แม่ลูกของเรา”
“นาย…”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะไม่ให้มันกับเธอหรอก ผมมีแผนอื่นไว้แล้ว” ลู่เช่อเอ่ยพลางโอบไหล่หลงเจี่ย “ผมอยากจะเห็นว่าเธอจะบ้าต่อไปได้อีกแค่ไหน”
ไม่มีใครอยากทำกับแม่ของตัวเองเช่นนี้ หากอีกฝ่ายปฏิบัติกับลูกของพวกเขาด้วยความรัก
โชคร้ายที่ไม่เพียงแต่หลงเจี่ยจะตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์แบบนี้ แม้จะไม่มีเธอและลู่เช่อก็รู้ว่าแม่ของเขาบ้าแค่ไหน เขาก็อาจจะไม่ยอมอดทนกับแม่ของตัวเองเหมือนกัน
“โอเค หลังจากเราได้ลูกกลับมา ฉันอยากย้ายบ้าน” หลงเจี่ยเอ่ยขอ “ฉันหวังว่าคนน่ารังเกียจแบบนั้นจะไม่โผล่เข้ามาในชีวิตฉันอีก”
ลู่เช่อดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนและลูบหลังอีกฝ่ายอย่างปลอบโยน “ขอโทษนะครับ เป็นความผิดผมเองที่ไม่จัดการความสัมพันธ์ให้ดี”
“ช่างมันเถอะ ไม่มีใครรับมือกับคนอย่างแม่นายได้หรอก และถึงฉันจะทำไม่ได้ แต่ก็สามารถเลี่ยงเธอได้”
“พรุ่งนี้รอดูการแสดงดีๆ ได้เลยครับ”
หลังจากพูดคุยกันเสร็จ ทั้งคู่ก็ไปอาบน้ำก่อนจะเข้านอน
เช้าวันถัดมาหลงเจี่ยไม่ได้ไปโรงพยาบาลกับลู่เช่อ เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ ลู่เช่อใช้เส้นสายของเขาและขอความช่วยเหลือจากหมอ
“คุณหมอมีสิ่งที่คุณต้องการแล้ว ลูกสาวของผมอยู่ไหนล่ะครับ” ลู่เช่อถามหลังจากกลับมาหาคุณนายลู่ในชั่วโมงถัดมา “ถ้าคุณกลับคำขึ้นมาก็อย่าฝันที่จะได้หลานชายเลยครับ”
คุณนายลู่พูดเย้ยหยัน หลังจากเห็นหมอพยักหน้ารับอยู่ด้านหลังลู่เช่อ ในที่สุดเธอก็ตอบกลับมา “ลูกสาวของแกอยู่ในรถ มีคนดูแลเธอให้อยู่”
“ตอนนี้ผมจะประกาศอย่างเป็นทางการว่าจากนี้ไป ผมไม่ใช่ลูกชายของคุณอีก ต่อไปนี้ผมจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องของคุณ แม้แต่สิ่งที่คุณเรียกว่าหลานชายในอนาคต” ลู่เช่อกล่าวเสียงหนักแน่น
“อืม ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ฉันจะไม่ไปรบกวนแกอีก พ่อแกกับฉันจะเลี้ยงเด็กเอง”
“แล้วแต่คุณเลยครับ”
“หลานชายฉันจะต้องมีอนาคตที่ดีกว่าลูกสาวตัวน้อยผู้บอบบางของแกแน่”
ลู่เช่อมองคุณนายลู่อย่างมีความนัย จากนั้นจึงเก็บโทรศัพท์ที่บันทึกบทสนทนาของพวกเขา ก่อนออกจากโรงพยาบาลเพื่อไปรับตัวลูกสาวของตัวเอง
หลังจากลู่เช่อออกไป คุณนายลู่พูดเย้ยหยัน “ตอนนี้เขาอาจจะไม่สนใจและคิดว่าลูกสาวกับลูกชายก็เหมือนๆ กัน แต่รอจนเขาแก่ตัวขึ้นแล้วจะรู้ว่าน่าเสียดายแค่ไหนที่ไม่มีลูกชายอยู่ข้างๆ คอยดูไปเถอะ”
…
หลังกลับมาที่รถพร้อมกับลูกสาว ในที่สุดหลงเจี่ยก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “นายไปหลอกอะไรไว้เหรอ”
ลู่เช่อยิ้มและตอบกลับ “ผมเอาตัวอย่างจากที่ทางโรงพยาบาลเก็บเอาไว้น่ะ ถ้าเธออยากจะมีหลานชายนักก็ให้เธอมีสักคนตามที่เธอต้องการเถอะ”
“แต่ไม่ช้าก็เร็วเธอก็จะรู้ว่าไม่ใช่สายเลือดของเธอนี่” หลงเจี่ยเป็นกังวล
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่ปล่อยให้เด็กกำพร้าหรอก ถ้าคุณลู่ทิ้งเด็กก็มีคนที่พร้อมจะรับเลี้ยงเด็กคนนี้อยู่แล้ว” เขาตอบ “คุณก็คิดซะว่าช่วยให้ใครบางคนได้ทำความฝันให้สำเร็จแล้วกัน”
เธอไม่เข้าใจว่าลู่เช่อวางแผนอะไรไว้ แต่เธอเชื่อว่าเขารู้ตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็กำลังพูดถึงเรื่องของชีวิตของคนคนหนึ่ง
เพราะลู่เช่อได้จัดการลงมือไปแล้ว เธอจึงทำได้แค่ปล่อยให้เรื่องเลยตามเลย…
“คุณนายลู่จะไม่มารบกวนเราอีกใช่ไหม”
“เราจะย้ายบ้านกันทันทีครับ” เขาว่าขึ้นขณะจุมพิตลงบนหน้าผากของเธอ
“ต่อไปนี้เราจะไม่ปล่อยให้ลูกหายไปอีกแล้ว” หลงเจี่ยเอ่ยเตือน
ลู่เช่อพยักหน้ารับอย่างมั่นใจ
…
ในเวลาเดียวกันนั้น ลัวเซิงอยู่ที่กองถ่าย กำลังจดจ่ออยู่กับบทตัวละครสมทบของเขา แน่นอนว่าความสามารถของถังหนิงในการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดนั้นยากจะหาใครเทียบได้
ครั้งนี้ตัวละครเป็นบุคคลต้นแบบที่เพียบพร้อม แม้ว่าลัวเซิงจะต้องใส่หน้ากากตั้งแต่แรก แต่ในตอนจบก็จะได้ถอดมันออกอยู่ดี เมื่อผู้กำกับเห็นเช่นนี้ก็พึงพอใจในรูปร่างหน้าตาของเขาอยู่ลึกๆ และชมไม่ขาดปากว่าแฟนๆ จะต้องบ้าคลั่งทันทีที่เขาปรากฏตัวบนหน้าจอแน่
ว่ากันตามจริงลัวเซิงไม่ได้คาดหวังกับบทบาทนี้นัก เขาคิดแค่ว่าเป็นการฝึกความอดทนและทักษะการแสดงจากถังหนิงเท่านั้น
ระหว่างที่เรื่องต่างๆ ได้ดำเนินไป ถังหนิงก็กำลังเลือกศิลปินคนที่สองของตัวเองและหลินเชี่ยนก็กำลังคอยเฝ้าดูเธออยู่
หากแต่ด้วยเรื่องความสัมพันธ์กับจู้ซิงมีเดีย ผู้บริหารระดับสูงของไห่รุ่ยเริ่มตั้งคำถามกับโม่ถิงเกี่ยวกับเอเจนซี่ ด้วยผ่านไปครึ่งปีแล้วพวกเขาก็ยังไม่ได้รับความคืบหน้าใดๆ จากถังหนิง
เธอไม่รู้ว่าตัวเองมีเวลาจำกัดหรือ
ยิ่งเวลาผ่านไปความสงสัยของพวกเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้น เธอสามารถสร้างดาราดาวรุ่งโดยที่อยู่บ้านและดูแลลูกของเธอได้จริงๆ หรือ มันจะง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร
“ประธานโม่ครับ ก่อนหน้านี้ผมตั้งความหวังกับถังหนิงไว้สูง แต่ตอนนี้คุณต้องให้ความมั่นใจกับเราบ้างนะครับ ไม่อย่างนั้นหลังจากหนึ่งปีผ่านไปเธอจะต้องปิดเอเจนซี่ของตัวเองลง”
“ใช่ครับ! นี่ก็ผ่านไปครึ่งปีแล้วด้วย…”
“ผมคิดว่าเธอควรเอาตัวเองให้รอดก่อนนะครับ”
“ยังไงก็ยังเหลือเวลาอีกครึ่งปี ผมคิดว่าพวกคุณควรเงียบๆ ไว้ก่อนนะครับ” โม่ถิงปฏิเสธสิ่งที่พวกเขาพูดทันที “ครึ่งปีมานี้เธอได้ไปขัดขวางพวกคุณจากการทำรายได้เข้าบริษัทหรือยังไง”
ผู้ถือหุ้นพูดอะไรไม่ออก
อันที่จริงแม้แต่โม่ถิงก็ยังไม่รู้ว่าถังหนิงลงมือไปถึงไหน ก่อนหน้านี้ลัวเซิงดูจะไปได้ดีแล้วแต่เธอก็ยังตัดสินใจให้เขารับบทนักแสดงสมทบอีก ดังนั้นความนิยมที่เขาได้รับจึงเริ่มลดลง เธอคิดอะไรอยู่กันแน่นะ
ทว่าถังหนิงไม่ได้ตั้งใจทำให้จู้ซิงมีเดียมีชื่อเสียงเพราะลัวเซิง เธอรู้ว่าเขาเป็นหน้าใหม่และไม่สามารถไปรีบร้อนกับเขาได้ อีกอย่างลัวเซิงคงไม่สามารถประสบความสำเร็จได้มากนักภายในช่วงเวลาสั้นๆ ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะค่อยๆ ฝึกเขาแทน
นี่เป็นเหตุผลที่เธอสร้างจู้ซิงมีเดียมาตั้งแต่แรก
ดังนั้นเมื่อพูดถึงผลการดำเนินการ จริงๆ แล้วความหวังของเธอจึงอยู่ที่ศิลปินคนที่สอง
ศิลปินคนที่สองของเธอเป็นนักร้องสาวที่มีความสามารถเป็นเลิศ
สามปีก่อนเธอเกือบจะคว้ารางวัลชนะเลิศในรายการแข่งขันร้องเพลง แต่กลับโดนน้องสาวของเธอใส่ร้ายว่าขโมยของจากผู้จัดงาน เธอจึงถูกตัดสิทธิ์ในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ
แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่ได้ถูกประกาศกับสื่อออกมาอย่างเป็นทางการ แต่มันก็ทำให้แพร่สะพัดไปทั่ววงการเพราะทุกคนคิดว่าเธอเป็นหัวขโมย
หากแต่ในขณะที่เธอใช้ชีวิตกับคำว่าร้ายมาเป็นปี น้องสาวของเธอกลับได้กลายเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงโด่งดัง