พวกเธอเป็นพี่น้องกัน…แต่ในขณะที่คนหนึ่งได้รับการยกย่อง อีกคนกลับต้องอยู่กับความอับอาย
อย่างไรก็ตาม ถังหนิงรู้ว่าหญิงสาวคนนี้เป็นนักร้องที่มีความสามารถเป็นเอกลักษณ์ซึ่งถูกทอดทิ้งอย่างไม่มีทางเลือกนอกจากการเป็นครูสอนดนตรี
ดังนั้นถังหนิงจึงรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องติดต่ออีกฝ่ายไปเพราะการแข่งขันร้องเพลงรายการใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้น
นอกจากนี้หลินเฉี่ยนยังคอยจับตาดูเธอว่าเธอยังมีแรงฮึดสู้ที่จะชนะหรือไม่
คืนนั้นโม่ถิงกลับมาที่บ้านและอุ้มจื่อซีเอาไว้ในอ้อมแขนพลางมองไปที่ถังหนิง “เหลือเวลาไม่มากแล้วนะครับ”
ถังหนิงที่กำลังถือชามข้าวและตะเกียบไว้มองโม่ถิงกลับ “คุณไม่เชื่อใจฉันเหรอคะ”
“ผมแค่ร้อนใจแทนคุณเฉยๆ ครับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ” เธอส่งชามข้าวและตะเกียบให้เขา “ฉันเคยทำให้คุณผิดหวังเหรอคะ”
“คุณไม่อยากให้ผมช่วยจริงๆ เหรอ” โม่ถิงยกคิ้วเปรยถามขึ้น
“ไม่ค่ะ ฉันรู้ว่าฉันต้องชดใช้คืนให้คุณ” เธอไม่ตกหลุมพรางของเขาง่ายๆ
หลังมื้อเย็น โม่ถิงพาเจ้าแสบทั้งสองคนไปอาบน้ำระหว่างที่ถังหนิงต่อสายโทรหาหลินเฉี่ยน “เรามีเวลาเหลือไม่มากแล้ว ถึงเวลาต้องลงมือสักที”
อันที่จริงหลินเฉี่ยนพยายามควบคุมตัวเองเอาไว้ หญิงสาวที่มีความสามารถแบบนี้กลับถูกน้องสาวของตัวเองใส่ร้าย มันคงคาดเดาได้ยากว่าเธอจะต้องโกรธขนาดไหน ยิ่งเธอต้องใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนสอนดนตรีทุกวัน ต้องทำงานที่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ชอบเหมือนเดิมซ้ำๆ
อย่างไรก็ตามถังหนิงยังไม่ได้บอกหลินเฉี่ยนให้ลงมือทำอะไรจนกระทั่งถึงตอนนี้ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่ถัง
หนิงรู้สึกว่าเป็นที่สมควรแล้ว เธอจึงไม่รอช้าที่จะส่งคำเชิญไปให้อีกฝ่าย
วันถัดมาในขณะที่หญิงสาวกำลังสอนอยู่ หลินเฉี่ยนรออยู่ด้านนอกห้องเรียน ทันทีที่เธอสอนเสร็จหลินเฉี่ยนก็เชิญเธอออกไปคุยกันข้างนอก “ฉันขอเวลาคุณสักครึ่งชั่วโมงได้ไหมคะ ฉันรู้ว่าคุณไม่มีสอนต่อช่วงบ่าย”
เธอตกใจเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นนามบัตรของหลินเฉี่ยน เธอก็พยักหน้าตอบรับคำเชิญ
แม้ว่าเธอจะอยากปฏิเสธหลินเฉี่ยนแต่เธอก็คงไม่อาจหันหลังให้กับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวงการบันเทิงไปได้
ไม่นานหญิงสาวทั้งสองก็มาถึงร้านกาแฟใกล้โรงเรียน ทันทีที่พวกเขานั่งลง หลินเฉี่ยนเริ่มแนะนำตัวกับอีกฝ่ายก่อน “ฉันชื่อหลินเฉี่ยน มาจากจู้ซิงมีเดียค่ะ”
“ฉันไม่เคยได้ยินชื่อจู้ซิงมีเดียมาก่อนเลย”
“ไม่สำคัญหรอกค่ะ ที่สำคัญคือคุณอยากจะกลับไปในที่ของคุณหรือเปล่า” หลินเฉี่ยนถามอย่างไม่อ้อมค้อม “จริงๆ แล้วฉันตามดูคุณมาสักพักแล้วและก็รู้ว่าเมื่อก่อนคุณ…”
“ฉันว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีแล้วล่ะค่ะ” เธอปฏิเสธอย่างไม่คาดคิดก่อนที่หลินเฉี่ยนจะพูดจบด้วยซ้ำ
“คุณต้องคิดว่าฉันเป็นพวกต้มตุ๋นแน่ๆ เลยใช่ไหมคะ” หลินเฉี่ยนหัวเราะ “อย่าเพิ่งปฏิเสธฉันเลยค่ะ ว่าว่าแต่คุณมีอะไรให้ฉันไปหลอกลวงเหรอคะ ถ้าฉันต้องการเงินแต่คุณก็ไม่มีเงินนี่คะ ถ้าฉันหวังผลประโยชน์จากร่างกายของคุณ คุณก็ไม่มีอีกนั่นแหละค่ะ”
“เอ่อ…” เธอมองหลินเฉี่ยนด้วยท่าทีอึดอัดใจ
“ฉันรู้ว่าคุณเกือบจะชนะในรายการเพลง แต่ต้องโดนตัดสิทธิ์เพราะน้องสาวคุณ” หลินเฉี่ยนเข้าเรื่องทันทีเพื่อดึงดูดความสนใจของเธอ “ถ้าเราให้โอกาสครั้งที่สองกับคุณเพื่อก้าวขึ้นบนเวทีอีกครั้ง คุณมั่นใจว่าจะคว้ารางวัลชนะเลิศได้ไหมคะ”
แววตาหญิงสาวเปล่งประกายขึ้นมาครู่หนึ่งอย่างชัดเจน หากแต่มันก็หายไปในทันที
“ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ น้องสาวฉันบอกว่าถ้าฉันเข้าร่วมรายการเพลงอีก เธอจะเปิดเผยเรื่องที่ฉันเป็นหัวขโมยกับสื่อ”
“แล้วถ้าเราช่วยล้างมลทินให้คุณได้ล่ะคะ” หลินเฉี่ยนถามพร้อมรอยยิ้ม
“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ…”
“ไม่มีอะไรที่จู้ซิงมีเดียทำไม่ได้ค่ะ” พูดจบหลินเฉี่ยนก็หยิบนามบัตรออกมาอีกครั้งก่อนยื่นให้อีกฝ่าย “ครั้งนี้อย่าทำหายนะคะ ฉันรู้ว่าคุณจะต้องการมัน…
“ฉันสัญญาว่าเราจะไม่เพียงแต่ล้างมลทินให้คุณแต่ยังจะทำให้คุณมีที่ยืนในรายการเพลงที่กำลังจะมาถึงด้วย แน่นอนว่าตัวคุณเองก็ต้องกล้าพอเช่นกัน…
“ถ้าคุณอยากจะใช้ชีวิตที่เหลือด้วยความอับอายต่อไป อย่างนั้นก็ไม่มีใครช่วยคุณได้หรอกค่ะ…
“ลองคิดดูดีๆ นะคะ ถ้าคุณอยากจะเดินหน้าต่อก็เข้ามาเซ็นสัญญาที่จู้ซิงมีเดียพรุ่งนี้นะคะ”
หลินเฉี่ยนพูดจบก็เดินออกจากร้านกาแฟไป ทิ้งให้หญิงสาวอยู่ลำพังพร้อมจังหวะหัวใจที่เต้นระรัว
แม้ว่าในความฝัน เธอจะยังหวังว่าจะได้ขึ้นไปอยู่บนเวทีอีกครั้ง ทว่าน้องสาวเธอกลับเอาแต่หาทางมากดขี่ข่มเหง แม้แต่งานปัจจุบันของตัวเองก็ยังต้องได้รับการอนุญาตจากน้องสาวเธอ
ชีวิตเธอจะมีความหมายอะไรอีก
หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ หญิงสาวต่อสายหาน้องสาวของตัวเอง แต่อีกฝ่ายรับสายด้วยน้ำเสียงรำคาญใจไม่น้อย “ฉันไม่ได้บอกเธอไว้เหรอว่าวันนี้ฉันยุ่งตลอดทั้งวันและเธอก็ไม่ควรโทรหาฉัน อยากจะให้คนทั้งประเทศรู้หรือยังไงว่าเธอเป็นหัวขโมย”
เมื่อได้ยินคำขู่ของปลายสาย เธอสูดหายใจลึกและเอ่ยขอโทษ “ฉันขอโทษ…”
“ขอโทษแล้วได้อะไร เธอมันไม่เคยจำอะไรได้สักอย่าง ไม่รู้หรือยังไงว่าฉันเป็นนักร้องชื่อดัง ฉันจะไปมีพี่สาวที่น่าขายหน้าแบบนี้ได้ยังไงกัน อย่าโทรมาหาฉันอีกนะ”
พูดจบน้องสาวของเธอก็วางสายไป
หญิงสาวถือโทรศัพท์ค้างไว้ด้วยความงุนงง และในที่สุดเธอก็หลุดเสียงหัวเราะเย็นเยียบออกมา
บางที…
…จู้ซิงมีเดียก็คุ้มค่าที่จะลอง…
อันที่จริงในคืนนั้นหลินเฉี่ยนก็แอบรู้สึกไม่มั่นใจเช่นกัน เธอยอมรับว่าตัวเองโน้มน้าวคนได้ไม่เก่งเท่าหลงเจี่ย ไม่รู้ว่าจะดึงดูดความสนใจของคนได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังมีความรู้สึกว่าหญิงสาวคนนั้นต้องมาปรากฏตัวแน่
ดังนั้นในวันถัดมาเธอจึงมาถึงที่ทำงานแต่เช้าตรู่ ไม่นานหลังจากนั้นคนที่เธอรออยู่ก็มาถึง
“ฉันยินดีที่จะเซ็นสัญญาค่ะ แต่ฉันอยากจะเพิ่มเงื่อนไขอีกข้อหนึ่ง คุณจะให้น้องสาวของฉันรู้ว่าฉันเข้าร่วมการแข่งขันนี้ไม่ได้” เธอเอ่ยกับหลินเฉี่ยน
“สบายมาก” หลินเฉี่ยนยักไหล่
เธอรีบเซ็นสัญญาก่อนที่จะรู้ตัวว่าตัวเองด่วนตัดสินใจไปหน่อย “ฉันว่า…ฉันรู้สึกพลาดไปหน่อย”
“คุณไม่ต้องเสียใจไปหรอก เราเซ็นสัญญาให้คุณเข้าร่วมการแข่งขันโดยใช้ชื่อในวงการใหม่แล้ว และวางแผนแปลงโฉมให้คุณด้วย ตอนนี้จะไม่มีใครจำคุณได้ และหลังจากที่คุณผ่านเข้ารอบในระดับประเทศจะมี ใครบางคน จำคุณได้เท่านั้น คุณรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร
“สำหรับโรงเรียนสอนดนตรีที่คุณทำงานอยู่ ฉันจะจัดการพวกเขาเองดังนั้นน้องสาวของคุณจะไม่รู้เรื่องนี้ คุณแค่ตั้งใจทวงสิ่งที่เป็นของคุณกลับคืนมาก็พอค่ะ”
“ฉันไม่เข้าใจ ทำไมคุณถึงต้องทำแบบนี้ด้วยคะ” หญิงสาวอยู่ในความสับสน พวกเขาไม่ได้มาหลอกเอาเงินหรือร่างกายของเธอ ในขณะเดียวกันเธอก็ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังแต่พวกเขาก็ยังยอมทำเพื่อเธอมากขนาดนี้
“เดี๋ยวคุณก็จะเข้าใจเมื่อถึงเวลาเองนั่นแหละค่ะ” หลินเฉี่ยนพูดตัดบทโดยที่ไม่ได้อธิบายอะไรอีก
เพราะเป็นครั้งแรกของเธอที่ต้องรับมือกับเรื่องแบบนี้ จึงยังมีอีกหลายสิ่งที่หลินเฉี่ยนไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร ดังนั้นเธอจึงต้องการคำแนะนำจากถังหนิง รวมถึงการจัดการดูแลหญิงสาวระหว่างการแข่งขัน จึงดูเหมือนว่าในครั้งนี้ถังหนิงจะต้องมาลงมือด้วยตัวเอง
สำหรับน้องสาวหน้าไม่อาย บางทีอาจมีเพียงคนระดับอย่างถังหนิงเท่านั้นที่จะจัดการกับเธอได้
นังนั่นสมควรเจอแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน
อย่างไรก็ตามหญิงสาวยังคงกังวลว่าเรื่องหัวขโมยของเธอในอดีตจะถูกเปิดเผย เธอไม่เชื่อว่าจู้ซิงมีเดียจะสามารถล้างมลทินให้เธอได้ จึงคอยเตือนตัวเองให้ระวังตัวไว้เสมอ
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ถังหนิงกำลังนับรอวันที่น้องสาวของอีกฝ่ายจะมาเคาะประตูห้องอย่างใจเย็น