“เกิดอะไรขึ้น” ถังหนิงถามด้วยความข้องใจ “เราสองคนเพิ่งได้คุยกันเมื่อคืนเอง…”
“ทำใจดีๆ ไว้นะ…” โม่ถิงถือโทรศัพท์อยู่ในมือก่อนยื่นให้ถังหนิง
ข่าวระบุไว้ว่า ซูเปอร์โมเดลฮั่วจิงจิงโดนสุนัขโจมตีระหว่างปกป้องลูกสาวของเธอ เธอถูกกัดไปทั่วทั้งขาและมีความเสี่ยงที่จะต้องตัดขาทิ้ง
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างฉุกละหุกเกินไปจนเป็นเรื่องค่อนข้างยากที่ถังหนิงจะยอมรับได้ “เป็นคนชื่อเหมือนกันหรือเปล่า”
“ตอนนี้ฮั่วจิงจิงอยู่ที่โรงพยาบาล เดี๋ยวผมจะพาคุณไปที่นั่น” โม่ถิงแนะ เขารู้ดีว่าเธอต้องการยืนยันอาการของฮั่วจิงจิงด้วยตัวของเธอเอง
“รอเดี๋ยวก่อนนะถิง… ฉันยังช็อกอยู่”
ถังหนิงนั่งลงที่ขอบเตียงและอ่านรายละเอียดในโทรศัพท์อีกครั้ง
“นี่เป็นอุบัติเหตุ พวกเขาพบเจ้าของสุนัขตัวนั้นแล้ว มันเกิดขึ้นเพราะเจ้าของคนนั้นเลี้ยงสุนัขพันธุ์ดุแต่ลืมล่ามโซ่เอาไว้”
ถังหนิงพยายามวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ แต่เธอรู้สึกไม่สบายใจอย่างมากเพราะสิ่งที่ฮั่วจิงจิงเพิ่งบอกเธอเมื่อคืน กระนั้นข่าวได้ระบุถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งหมดและยืนยันว่าเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น อีกทั้งเจ้าของสุนัขเองก็ออกมาเสนอค่าชดใช้แล้ว
แต่… ชดใช้อะไร
อาชีพของนางแบบคนหนึ่งพังพินาศ แล้วคนคนนั้นจะชดเชยได้อย่างไร
ถ้าเกิดฮั่วจิงจิงไม่อาจกลับมาเดินได้อีกล่ะ
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของถังหนิง โม่ถิงคุกก็เข่าและลูบใบหน้าหญิงสาวเพื่อปลอบใจ “ฟังอวี้จะจัดการเรื่องงานให้เธอและพยายามอย่างดีที่สุดที่จะลดผลกระทบ”
“โอเคค่ะ” ถังหนิงพยักหน้า หลังมื้อเช้า เธอมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลของฮั่วจิงจิงพร้อมโม่ถิง
เนื่องจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อคืน การผ่าตัดจึงเสร็จสิ้นไปแล้ว แต่ฮั่วจิงจิงยังคงไม่ได้สติ
ฟังอวี้กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟาพร้อมกับฟังเย่ว์ เห็นได้ชัดว่าพ่อลูกเหนื่อยล้า
“คุณพ่อคะ มีคนมา” ฟังเย่ว์ตื่นอยู่และดึงแขนเสื้อของฟังอวี้ ทันทีที่เขาเห็นถังหนิง ฟังอวี้รีบลุกขึ้นยืนทันที
“เรารักษาไม่ให้ขาทั้งสองข้างของเธอถูกตัดได้อย่างหวุดหวิด แต่แผลเป็นพวกนั้นจะคงอยู่ตลอดไป นี่ก็เป็นเรื่องหนึ่ง สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือเธออาจจะไม่สามารถกลับมาเดินบนรันเวย์ได้อีกต่อไป”
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้พ่อ ฟังเย่ว์ก็น้ำตานองหน้า “เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะคุณแม่พยายามจะช่วยหนู”
ฮั่วจิงจิงตื่นเพราะเสียงร้องไห้ เมื่อเธอลืมตาขึ้นมองเพดานสีขาวดังหิมะ ใช้เวลาสักครู่เธอก็รวบรวมความทรงจำของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันก่อนได้
“เสี่ยวเย่ว์…”
“คุณแม่ หนูอยู่นี่ค่ะ” ฟังเย่ว์รีบวิ่งไปหาผู้เป็นแม่ทันที
เมื่อเห็นว่าฟังเย่ว์ปลอดภัย ฮั่วจิงจิงก็รู้สึกโล่งอก
ขณะนั้นเอง ถังหนิงเดินเข้าไปหาฮั่วจิงจิงและมองเธอพร้อมกล่าว “เธออาจจะเดินบนรันเวย์ไม่ได้ไปสักพักนะ ขาของเธอจะมีแผลเป็นเหลืออยู่”
“โอ้ จริงเหรอ…” ฮั่วจิงจิงไม่แสดงท่าทีใดๆ ทว่าถังหนิงได้ยินเสียงของอีกฝ่ายแตกสลาย แม้ฮั่วจิงจิงมักจะพูดอยู่เสมอว่าเธอไม่ต้องการเดินบนรันเวย์อีกและไม่ต้องการเป็นนางแบบอีกแล้ว ตอนนี้ในที่สุดเธอก็ได้ปลดเปลื้องความสามารถเหล่านั้น แต่ความเศร้าและความผิดหวังยังคงกัดกินเธอ
“จิงจิง” ฟังอวี้เดินเข้ามาหาฮั่วจิงจิงและกุมมืออีกฝ่ายเอาไว้ “ผมจะไม่ยอมแพ้”
“ไม่เป็นไรหรอก ตราบใดที่เสี่ยวเย่ว์ปลอดภัยอะไรจะเกิดขึ้นกับฉันก็ไม่สำคัญทั้งนั้น ถังหนิง เธอควรกลับบ้านไปเถอะเดี๋ยวจะติดโรคอะไรจากโรงพยาบาล นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ” ฮั่วจิงจิงพยายามอย่างดีที่สุดที่จะส่งคนที่อยู่ภายในห้องให้ออกไป “ทุกคนควรกลับไปได้แล้ว อย่าทำให้ฉันหนักใจเลยนะ”
ถังหนิงพยักกน้า เธอเข้าใจดีว่าฮั่วจิงจิงต้องการเวลาอยู่กับตัวเอง ดังนั้นเธอจึงไม่ยืนกรานที่จะอยู่ต่อ ทว่าในระหว่างทางกลับบ้าน เธอได้รับข้อความจากฮั่วจิงจิง [ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน]
นอกจากความรู้สึกเป็นกังวลแล้ว ถังหนิงยังรู้สึกถึงความรู้สึกอีกอย่าง ความจริงที่ว่าชีวิตนั้นไม่อาจคาดเดาได้
เธอเพิ่งจะคุยโทรศัพท์กับฮั่วจิงจิงเมื่อวาน แต่วันนี้…
ที่แย่ที่สุดคือไม่ว่าฟังอวี้จะพยายามช่วยฮั่วจิงจิงแค่ไหน ความจริงเรื่องที่เธอบาดเจ็บได้เป็นสัญญาณว่าเธอได้สูญเสียโอกาสในความก้าวหน้าในอนาคต ในวงการนี้มีคนเข้ามาและออกไปอยู่ตลอด หากพวกเขารอให้ฮั่วจิงจิงฟื้นตัวโดยสมบูรณ์ แล้วจะยังมีใครจำเธอได้อยู่อีกหรือ
“ถิงคะ จิงจิงเป็นคนที่ภาคภูมิใจในตัวเอง เราต้องเปิดโอกาสในการเลือกให้เธอ”
โม่ถิงพูดอะไรไม่ออก เขาเพียงแค่โอบไหล่ถังหนิงและดึงอีกฝ่ายเข้ามากอด
…
ช่วงบ่ายที่แดดจัดในวันนั้น ณ บ้านตระกูลซ่ง
ซ่งซินเพิ่งตื่นนอนและพบว่าผู้ช่วยของเธอกำลังรออยู่ที่ห้องนั่งเล่น
“ฉันทำตามที่คุณขอแล้ว ผลออกมาสุดยอดมาก” ผู้ช่วยของซ่งซินไม่ใช่คนของไห่รุ่ย เธอเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมที่ติดตามซ่งซินเข้าวงการมาหลังจากซ่งซินเปิดตัว
“ฉันประเมินถังหนิงกับเพื่อนของมันสูงไป” ซ่งซินนั่งลงบนโซฟาด้วยผมอันยุ่งเหยิง “บีบพวกมันให้หายไม่ได้ยากอย่างที่ฉันคิด”
“ฮั่วจิงจิงจัดการได้ง่ายเพราะไม่มีใครรู้ว่าหมาตัวนั้นวิ่งไปหาลูกสาวเพราะมีกระดูกชิ้นเล็กๆ ซ่อนอยู่ในกระเป๋าเสื้อของเด็ก แต่เราควรทำยังไงกับถังหนิงดีล่ะ”
ซ่งซินเท้าคางครุ่นคิดอยู่ภายใต้แดดอันอบอุ่น “ขอฉันคิดก่อน…”
“ใช้หมาธรรมดาตัวเดียวจัดการถังหนิงไม่ได้แน่”
“ลูกมันไง!” ซ่งซินนึกขึ้นได้ “ถ้ามันเกิดแท้ง… มันจะทำยังไง”
“แต่… เด็กนั่นอายุครรภ์ได้แปดเดือนแล้วนะ”
“ตอนที่แม่ฉันบังคับให้เมียน้อยของพ่อไปทำแท้ง ผู้หญิงนั่นก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยนี่ แต่ป่วยเป็นโรคประสาทนิดหน่อย” ซ่งซินตอบ สำหรับเธอแล้วตราบใดที่เด็กยังไม่คลอดออกมา ก็ยังไม่ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิต
“แต่… เราไม่มีโอกาสได้ลงมือ” ผู้ช่วยคนนั้นพูดอย่างไม่มีทางเลือก
“เราจะไม่มีโอกาสได้ยังไง ถังหนิงกับแม่ผัวมันกำลังไม่ลงรอยกัน นี่มันโอกาสเหมาะที่จะใช้มือของคนอื่นกำจัดศัตรูของเราไม่ใช่หรือไง”
ซ่งซินกำลังหมายถึงฮว่าเหวินเฟิ่ง
“แต่ฮว่าเหวินเฟิ่งเองก็สาหัสเพราะถังหนิงพอแล้วไม่ใช่เหรอ”
“เพราะมันเจ็บปวดไง เราถึงต้องใช้ความโกรธของมันให้เป็นประโยชน์” ซ่งซินพูดอย่างสบายใจ “เรื่องแบบนี้จัดการได้ง่ายมาก ฉันแค่ต้องให้เธอขับเคลื่อนอะไรสักหน่อย”
“เธอหมายความว่าไง” ผู้ช่วยคนนั้นรู้สึกสับสนเล็กน้อย
“ตอนนี้เธอเป็นส่วนหนึ่งของไห่รุ่ย ดังนั้นเธอจะรู้ว่าในเอเจนซี่มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เธอก็แค่ต้องสร้างเรื่องขึ้นมาแล้วปล่อยให้มันไปถึงหูฮว่าเหวินเฟิ่ง”
“แต่ ฉันควรสร้างเรื่องแบบไหนล่ะ”
“อะไรอย่างเช่นการให้ฮว่าเหวินเฟิ่งมาเป็นคนรับใช้หลังจากคลอดลูก ไม่ก็การไล่ฮว่าเหวินเฟิ่งออกจากปักกิ่ง หรือไม่ก็การบังคับให้ฮว่าเหวินเฟิ่งต้องบริจาคอวัยวะถ้าเด็กเกิดมาแบบไม่สมประกอบ เคยมีข่าวลือเรื่องฮว่าเหวินเฟิ่งเคยพูดว่าเด็กในท้องถังหนิงจะไม่สมบูรณ์ใช่ไหมล่ะ”
ผู้ช่วยคนนั้นมองหน้าซ่งซิน หลังผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็ชี้ไปที่อีกฝ่ายพร้อมพูดขึ้น “เธอนี่มันชั่วร้ายไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ”
“นั่นเป็นสาเหตุที่เราไม่เคยล้มเหลวไง” ซ่งซินหัวเราะในลำคอ “ฉันเกลียดเวลามีคนมาขวางทางของฉัน สิ่งที่ฉันทำจะช่วยลดภาระให้ถังหนิง มันควรจะขอบคุณฉันด้วยซ้ำ”
แม้ผู้ช่วยคนนั้นจะรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว แต่เธอก็ยังทำตามที่ซ่งซินบอก
ทั้งสองทำงานร่วมกันมาหลายปี ดังนั้นเธอจึงเข้าใจอารมณ์ของซ่งซินดี
เป้าหมายของพวกเธอคือลูกของถังหนิง แต่ถังหนิงมองว่าเด็กคนนี้สำคัญกว่าชีวิตของเธอแล้ว ถ้าพวกเธอทำพลาดขึ้นมาจะเกิดอะไรขึ้น