หากแต่มันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญแต่อย่างใด
เพียงเพราะพวกเขาไม่ได้ชื่นชมถังหนิงในตอนนี้ ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะคิดกับเธออย่างนั้นตลอดไปเสียหน่อย
อีกทั้งผลประโยชน์เบื้องหลังที่สำคัญที่สุดของถังหนิงคือการที่ในตอนนี้เธอสามารถตอบโต้คนเหล่านั้นได้ เธอสามารถจัดการใครก็ได้ตามที่เธอต้องการ ไม่จำเป็นต้องนึกถึงภาพลักษณ์ในฐานะนักแสดงเหมือนก่อนหน้านี้ เธอสามารถผ่อนคลายและทำทุกอย่างได้อย่างที่ใจปรารถนา
อย่างการที่หลังจากได้ยินว่าถังหนิงผันตัวมาเป็นผู้จัดการและเข้ามาช่วยแก้ต่างให้ศิลปิน ทั้งยังมีใครบางคนในวงการอ้างว่าเธอเพียงแค่ใช้มันเป็นเครื่องมือในการหาจุดยืนให้ตัวเองเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรเธอเองก็ไม่ได้รับการยอมรับเช่นกัน ดังนั้นสำหรับบางคนนี่จึงเป็นสิ่งที่แสดงปมด้อยของเธอออกมา
ในเวลาเดียวกัน พวกเขายังอ้างว่าตอนนี้เธอเป็นคนซึ่งถูกมองข้ามที่ไร้ซึ่งราศีของคนที่มาจากวงการบันเทิงอีกด้วย
หากถังหนิงเห็นความคิดเห็นเช่นนี้เมื่อก่อน เธอคงจะตอบโต้โดยการแสร้งทำเป็นไม่เห็น
ทว่าในตอนนี้เธออยู่ในฐานะผู้จัดการ ถึงเวลาที่เธอจะตอกกลับสักที
ถังหนิงโต้ตอบกลับไปในท้ายที่สุด “ถ้าเธออยากดังขนาดนั้นก็บอกมาดีๆ สิ แต่ว่าต่อให้เธอมาหาฉัน ฉันก็ไม่ช่วยเธอหรอกนะ”
เมื่อเห็นดังนั้นทุกคนต่างก็ตะลึงงันไปตามๆ กัน
ถังหนิงที่ไม่เคยสร้างศัตรูต่อหน้าคนอื่นออกมาโต้กลับแล้ว อันที่จริงการโจมตีของเธอเป็นไปด้วยความแข็งแกร่งและเด็ดขาดด้วยผลตอบรับที่ย้อนกลับมาในทันที
มันคือความเป็นจริงของวงการนี้ เหล่าคนดังมีสิทธิ์ที่จะพูดสิ่งที่พวกเขาต้องการ
แม้ว่าถังหนิงจะเก็บตัวอยู่เงียบๆ มานาน แต่เมื่อถึงยามที่ตัดสินใจปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เธอก็ยังคงเป็นถังหนิงคนเดิม เธอไม่ได้ก้าวลงมาจากบัลลังก์ของตัวเองเพียงเพราะหายหน้าไปในช่วงเวลาหนึ่ง
การเปลี่ยนแปลงของถังหนิงทำให้ทุกคนตกตะลึงไม่น้อย เธอปรากฏตัวในเส้นทางเดียวสามีของเธอและกำลังแสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือและความเด็ดเดี่ยว
[ทำไมคุณถึงแสดงท่าทีเย่อหยิ่งอย่างนั้นล่ะ คุณไม่ได้มีศิลปินในสังกัดอยู่สองคนเหรอ แล้วพวกเขาก็เป็นแค่ศิลปินหน้าใหม่ไม่ใช่เหรอ ก่อนที่จะอวดดีรอดูผลกันต่อไปเถอะ]
[นี่มันทำลายภาพลักษณ์ของถังหนิงในสายตาฉันไปหมดเลย เธอเคยอยู่เงียบๆ กว่านี้นี่]
[ฉันไม่คิดว่าเธอเปลี่ยนไปหรอกนะ เธอเองน่าจะเป็นคนผูกใจเจ็บอยู่แล้ว เธอแค่ทำสิ่งที่ต้องทำในฐานะผู้จัดการ ถ้าเธอยังเป็นแบบเมื่อก่อน สุดท้ายศิลปินของเธอคงจะถูกรังแก]
[ตอนนี้ถังหนิงดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้…]
…
ในขณะที่ฟังอวี้อ่านความคิดเห็นบนโลกออนไลน์เรื่องความเปลี่ยนแปลงของถังหนิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะพร้อมแท็บเล็ตที่อยู่ในมือ “เธอเปลี่ยนไปยังไงเหรอ เธอก็เป็นคนแบบนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ ไม่อย่างนั้นเธอจะอยู่รอดในวงการมานานขนาดนี้ได้ยังไงกัน”
เมื่อฮั่วจิงจิงได้ยินเขาพูดถึงถังหนิงเธอก็ฉวยแท็บเล็ตมาจากมือเขา “ฉันว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่สักหน่อย ต่อจากนี้ไปคนพวกนี้ควรจะจำเอาไว้ให้ดี เมื่อก่อนพวกเขายังรังแกถังหนิงไม่พอหรือยังไงกัน กว่าเธอจะมาเป็นผู้จัดการได้มันไม่ง่ายเลยนะ ถึงเวลาที่เธอจะเอาคืนแล้ว!”
“ผมก็ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องแย่นี่นา…” ฟังอวี้อธิบายเสียงอ่อน “เอาละ…คืนแท็บเล็ตของผมมาได้แล้วครับ”
“ไปอาบน้ำให้เย่ว์เอ๋อร์ก่อนค่ะ ฉันจะนั่งตรงนี้สักพักหนึ่ง”
พูดจบเธอก็กัดแอปเปิลในมือพลางอ่านความคิดเห็นในอินเทอร์เน็ต
“ถังหนิงต้องการความเป็นห่วงจอมปลอมของเธอหรือยังไงกัน เก็บเอาไว้คนเดียวเถอะ”
แม้ว่าถังหนิงจะมีศิลปินในความดูแลเพียงแค่สองคน แต่พวกเขาต่างก็เป็นคนที่ไม่ได้รับการยอมรับและถูกมองข้ามมาก่อน หากแต่ได้กลับมาแจ้งเกิดอีกครั้งด้วยความช่วยเหลือของเธอ สิ่งหล่านี้หมายความว่าอย่างไร มันแสดงให้เห็นว่าเธอมีความสามารถที่จะให้โอกาสครั้งที่สองกับคนอื่นได้ และสิ่งนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอกล้าพอที่จะประกาศว่าเธอได้ก่อตั้งเอเจนซี่ที่น่าจับตามองขึ้นมา
“สถานการณ์ของซิงหลานดูไม่แย่เลย อย่างน้อยอนาคตของเธอก็ดูเหมือนจะมั่นคงบ้างแล้ว แต่กับลัวเซิง ตั้งแต่ที่เขาเข้าวงการมาด้วยผลงานในละครวัยรุ่น เขายังได้รับแค่บทในฐานะนักแสดงสมทบเท่านั้น ดูท่าแล้วเขาจะผ่านมันไปได้ไม่ง่ายเท่าไร”
“มีศิลปินหน้าใหม่ที่อายุยังน้อยเกิดขึ้นในวงการทุกวัน หลังจากเวลาผ่านไป ใครยังจะจำเขาได้บ้าง”
พวกเขาพูดถูก หลังจากที่ลัวเซิงผ่านช่วงที่ได้รับความสนใจหลังผลงานละครวัยรุ่นของเขาออกฉาย ถังหนิงก็ไม่ได้ทำอะไรเพื่อรักษากระแสเอาไว้
หากแต่ไม่ได้หมายความว่าลัวเซิงจะไม่มีอนาคตสักหน่อย
เพราะไม่นานหลังจากที่ซิงหลานผ่านเข้ารอบหกสิบสี่คนสุดท้าย ละครย้อนยุคทุ่มทุนสร้างก็ได้เซ็นสัญญากับลัวเซิงในฐานะนักแสดงนำของเรื่อง
เป็นบทบาทที่เหล่านักแสดงอายุน้อยชื่อดังต่างก็ใฝ่ฝันจะได้รับ แต่พวกเขานึกไม่ถึงว่าคนที่เป็นนักแสดงสมทบจะก้าวขึ้นมาคว้าบทบาทนี้ไปได้
ลัวเซิงเป็นคนที่พูดคุยต่อรองสำหรับบทนี้ด้วยตัวเขาเอง ด้วยคำแนะนำจากผู้กำกับเขาจึงได้ทำสัญญากับผู้จัดของละครเรื่องนี้
[เขาต้องมีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างเพื่อให้ได้โอกาสนี้มาแน่ๆ ไม่งั้นทำไมบทดีๆ ถึงไปตกอยู่ในมือคนที่ได้รับแต่บทนักแสดงสมทบล่ะ]
[ฉันยอมรับว่ารูปร่างหน้าตาของเขาดูสะดุดตาอยู่ แต่เขาเป็นแค่นักแสดงน้องใหม่ มีสิทธิ์อะไรมาแย่งบทนี้ไป ถังหนิงไปใช้เล่ห์เหลี่ยมอะไรอีกล่ะ]
[เหอะ ฉันรับไม่ได้เด็ดขาด!]
แฟนคลับของนักแสดงมืออาชีพต่างผิดหวังที่ลัวเซิงได้รับบทนี้เพราะพวกเขาคิดว่าลัวเซิงไม่สมควรได้รับมัน
เขามีสิทธิ์อะไรมาแข่งกับคนที่อยู่ในวงการมานานและได้รับความนิยมอยู่แล้วกัน
แต่ทว่าเมื่อถังหนิงเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง…
…ก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นไปตามสิ่งที่เคยเป็น
ดังนั้นในฐานะตัวแทนเอเจนซี่ของเธอ ถังหนิงจึงประกาศกร้าวออกไป “ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ คนที่สงสัยในศักยภาพของศิลปินของฉันที่สามารถคว้าบทบาทนี้มาได้ ควรจะไปดูว่านักแสดงที่พวกคุณสนับสนุนอยู่มีทักษะการแสดงพอหรือเปล่าก่อนนะคะ ฉันกลับรู้สึกดีใจมากกว่าที่ได้ฝึกฝนเขาค่ะ…”
ทุกคนรู้ว่าถังหนิงมีประสบการณ์มากพอที่จะตัดสินทักษะการแสดงของคนอื่น เธอจึงจี้จุดไปที่ข้อบกพร่องของนักแสดงคู่แข่งคนอื่นๆ ไม่ว่าพวกเขาจะโด่งดังหรือหน้าตาดีมาจากไหน หากไม่อาจแสดงและไม่ทำให้เห็นถึงความสามารถ ทำไมลัวเซิงถึงจะมารับบทนี้ไม่ได้
หลังจากถังหนิงลั่นคำพูดเหล่านี้ออกไป บรรดาแฟนคลับจึงไม่มีทางเลือกนอกจากสงบปากสงบคำอย่างยอมจำนน
ใครสั่งให้ศิลปินของพวกเขามีทักษะการแสดงที่น่าผิดหวังกันล่ะ
…
ในคืนนั้นโม่ถิงกลับมาถึงบ้านและพบว่าภรรยาของเขากำลังอาบน้ำให้ลูกๆ อยู่ เขาถอดเสื้อคลุมออกทันทีก่อนย่อตัวลงข้างถังหนิงเพื่อช่วยจับเจ้าตัวยุ่งให้อยู่นิ่งๆ
“คุณดูท่าทางสนุกนะครับ” โม่ถิงพูดถึงการตอบโต้ของเธอกับกลุ่มแฟนคลับ
“ถ้าฉันรู้ว่าการเป็นผู้จัดการจะสนุกขนาดนี้ ฉันคงเป็นตั้งแต่ทีแรกแล้ว!” ถังหนิงตอบกลับขณะที่แต่งตัวให้ลูกชายของตัวเอง “เทียบกับการแสดงและได้รับรางวัลแล้ว ฉันคิดว่าแบบนี้ทำให้รู้สึกประสบคามสำเร็จมากกว่าซะอีกค่ะ”
ถังหนิงค้นพบว่าเธอสามารถใช้ความสามารถของตัวเองเปลี่ยนแปลงวงการนี้ได้ แม้ว่าจะเป็นเพียงจุดเล็กๆ แต่มันก็ยังคุ้มค่า
โม่ถิงระบายยิ้มก่อนจูบลูกชายทั้งสองคน จากนั้นจึงยกมือเชยคางถังหนิงและมอบจุมพิตให้เธอเช่นกัน “อย่าสร้างศัตรูให้มากนักนะครับ”
“แล้วถ้าฉันทำล่ะคะ คุณจะปล่อยให้ฉันปกป้องตัวเองเหรอคะ” เธอเอ่ยถาม
เขาหัวเราะออกมาเบาๆ พลางลูบศีรษะอีกฝ่ายด้วยความรักใคร่เอ็นดูก่อนลุกขึ้นยืน
เขาจะทำอย่างนั้นได้อย่างไรกัน
เขาแค่เอ่ยปากเตือนเท่านั้น ความจริงแล้วเขากำลังรอให้คนที่ตามประจบสอพลอถังหนิง กลายมาเป็นกลุ่มคนที่อยู่เคียงข้างเธอด้วยความจริงใจ แต่ทว่าถังหนิงกลับไม่เคยต้องการให้เขามาเป็นห่วงเธอแม้แต่น้อย