[ได้ยินที่ซย่าหันโม่ถอนตัวจากบทที่เธอรับเล่นก่อนหน้านี้และงานอื่นที่เซ็นสัญญาไปแล้วหรือเปล่า แถมถังหนิงยังช่วยเธอจ่ายค่าชดเชยทั้งหมดเลยด้วย]
[ถ้าเธอไม่แสดงหนังหรือรับงานโฆษณา แล้วเธอวางแผนจะทำอะไรกันนะ]
[ใครจะไปรู้ว่าถังหนิงคิดอะไรอยู่ล่ะ]
ประเด็นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดหนีไม่พ้นเรื่องที่ว่าถังหนิงวางแผนจะกอบกู้ภาพลักษณ์ของซย่าหันโม่อย่างไร
อย่างไรก็ตามถังหนิงไม่ได้ลงมือทำอะไรให้เห็น เธอกลับยกเลิกงานของซย่าหันโม่ทั้งหมดจนเกือบชวนให้คิดว่าเธอกำลังวางแผนพาตัวอีกฝ่ายไปซ่อน
ตามที่เลื่องลือกันในวงการว่าต่อให้ซย่าหันโม่ลอกคราบทั้งตัว เธอก็ไม่อาจเปลี่ยนความคิดที่ผู้คนมีต่อเธอได้ ดังนั้นไม่ว่าถังหนิงวางแผนจะทำอะไรก็ไม่มีประโยชน์ จะว่าไปแล้วชื่อเสียงของซย่าหันโม่จะกลับมาใสสะอาดได้หรือ
แต่ทว่าด้วยสายตามากมายที่จับจ้องมาที่ถังหนิงและจู้ซิงมีเดีย นี่คือสิ่งที่ถังหนิงแสดงให้เห็นทั้งหมดจริงๆ หรือ
…
“ช่วยย้อมผมเธอให้เป็นสีดำและถอดเครื่องประดับทุกชิ้นออกด้วยค่ะ”
สไตลิสต์มองซย่าหันโม่ผ่านกระจกอย่างไม่เข้าใจสิ่งที่อยู่ในใจถังหนิงนัก
“รูปลักษณ์ของเธอดูเหมือนดารามากเกินไป ต้องทำให้เธอดูเรียบง่าย” ถังหนิงอธิบาย
หลังจากได้ยินคำตอบของถังหนิง อีกฝ่ายก็เข้าใจขึ้นมาบ้างว่าถังหนิงต้องการเปลี่ยนซย่าหันโม่ให้เป็นแบบไหน
ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของการเปลี่ยนแปลงคนไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอกหากแต่เป็นตัวตนภายในต่างหาก
“จากนี้ไปเธอคือบล็อกเกอร์ท่องเที่ยว ไม่จำเป็นต้องแต่งหน้าหนา ถ้าเธอมีเวลาว่างก็ไปเรียนถ่ายรูปเอาไว้ ต่อไปนี้เธอจะไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับวงการบันเทิงอีก…” ถังหนิงเอ่ย “ส่วนเรื่องด่างพร้อยที่ติดตัวเธอ ไม่จำเป็นต้องไปจัดการพวกมันหรอก ตอนนี้เรื่องพวกนั้นกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวของเธอแล้ว”
สไตลิสต์เป็นเพียงคนทั่วไปที่อดไม่ได้ที่จะเงี่ยหูฟังบทสนทนาระหว่างถังหนิงกับซย่าหันโม่
เธอก็เป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่สงสัยว่าถังหนิงจะล้างมลทินให้ซย่าหันโม่อย่างไร และในตอนนี้เองที่เธออึ้งไป
ถังหนิงได้ปูทางชีวิตซย่าหันโม่ใหม่และทั้งหมดที่เธอต้องทำคือการให้ความสำคัญกับการออกท่องเที่ยว นี่เป็นวิธีแก้ปัญหาที่มีแต่ได้กับได้
ไม่กี่วันหลังจากนั้นถังหนิงซื้อตั๋วให้ซย่าหันโม่บินไปตุรกี อย่างไรก็ตามก่อนที่เธอจะเดินทางซย่าหันโม่ได้ขอร้องไว้หนึ่งเรื่อง เธอต้องการฟังซิงหลานร้องเพลง พูดอีกอย่างคือเธอต้องการเข้าร่วมงานประกวดรอบคัดเลือกสามสิบสองคนสุดท้ายจากหกสิบสี่คน
แต่ทว่าถังหนิงกลับไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้
“หลังจากเธอกลับมาดังแล้วเธอจะขออะไรที่เธอต้องการก็ได้ แต่ตอนนี้เธอไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนั้น”
ด้วยเหตุนี้ซย่าหันโม่จึงเดินทางไปตุรกี…
มีบางคนเห็นถังหนิงไปส่งซย่าหันโม่ที่สนามบิน แม้ว่าซย่าหันโม่จะไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้หรือบอกเรื่องนี้กับสื่อมาก่อนก็ตาม
เธอคงเป็นตัวอย่างที่แย่ที่สุดในฐานะศิลปินที่ทำลายเอเจนซี่ของตัวเอง ทั้งยังไม่ยอมรับผิดชอบและจากไปโดยไม่ออกมาอธิบายแต่อย่างใด
ทำไมถังหนิงถึงไม่จัดการเรื่องนี้อย่างที่คนปกติทำกันนะ
ทุกคนต่างเฝ้ารอให้เธอเผยแผนการประชาสัมพันธ์ที่แยบยลของเธอ แต่เธอกลับส่งซย่าหันโม่ออกไปให้ห่างและทำให้เธอหายไปจากวงการบันเทิง
หลงเจี่ยมองซย่าหันโม่จากไปและอดรู้สึกปวดใจไม่ได้ “คุณคิดว่าเธอทำแบบนี้แล้วจะเปลี่ยนโชคชะตาของเธอเองได้จริงๆ เหรอคะ”
“ไม่หรอก แต่ฉันรู้ว่าเมื่อเธอกลับมาปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนอีกครั้ง เธอจะเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยล่ะ” ถังหนิงตอบอย่างมั่นใจ
ทำไมเธอถึงให้ซย่าหันโม่จากไปแบบนี้น่ะหรือ เพราะว่าเธอจะรักษาความเห็นอกเห็นใจจากคนอื่นไว้ได้บ้างอย่างไรล่ะ
“ซย่าหันโม่ เราจะรอให้เธอกลับมานะ”
…
ในขณะเดียวกัน การประกวดของซิงหลานเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ อีกไม่นานเธอจะต้องเข้าแข่งขันในรอบ 32 คนสุดท้าย
ระหว่างนี้ถังหนิงนัดให้ซิงหลานและลัวเซิงได้เจอกัน ถึงอย่างไรพวกเขาทั้งสองก็เป็นส่วนหนึ่งของจู้ซิงมีเดีย เพราะผ่านประสบการณ์มาคล้ายคลึงกันพวกเขาจึงเข้าอกเข้าใจกัน และยังชื่นชมกันและกันในโอกาสต่างๆ ไปโดยปริยาย หากแต่สิ่งที่สำคัญคือการพึงระลึกไว้ว่าพวกเขาเป็นทีมเดียวกัน และมีชัยชนะและความล้มเหลวร่วมกัน
ด้านการประกวดก็ได้รับความนิยมมากขึ้น ส่งให้ชื่อเสียงของซิงหลานถูกยกระดับขึ้นไปอีก
ที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้เธอเป็นที่รู้จักในนาม ศิลปินของถังหนิง
การเป็นที่รู้จักในฐานะ ศิลปินของถังหนิง หมายความว่าเธอได้สร้างความประทับใจในการกลับมาแจ้งเกิดให้กับผู้คนได้อย่างสง่างาม
ด้วยเหตุนี้ผู้คนมากมายจึงติดต่อมาหาถังหนิงด้วยหวังว่าจะได้โอกาสครั้งที่สอง…
…
ค่ำคืนหลังจากนั้น ณ ไฮแอทรีเจนซีที่แสนอบอุ่น
ถังหนิงตั้งโต๊ะอาหารเย็นหลังจากตระเตรียมมาตั้งแต่ช่วงบ่าย เธอหวังว่าโม่ถิงจะมีความสุขกับอาหารจานร้อนทันทีที่เขากลับถึงบ้าน
ในขณะที่เจ้าตัวแสบสองคนวิ่งป่วนรอบห้องนั่งเล่นพร้อมซย่าอวี้หลิงที่คอยดูแลพวกเขาอยู่
ไม่นานโม่ถิงก็กลับมาถึงบ้านอย่างเหนื่อยล้า โม่จื่อเฉิน พี่ชายคนโตปรี่กระโจนเข้าอ้อมแขนพ่อตัวเองทันที ในขณะที่โม่จื่อซีนั่งอยู่บนพื้น มองพี่ชายตัวเองทำท่าทางออดอ้อนอย่างเด็กเอาแต่ใจ
เมื่อเห็นดังนั้นซย่าอวี้หลิงจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือน “อย่าโอ๋คนหนึ่งมากกว่าอีกคนนักสิ…”
“ผมรู้ครับแม่” โม่ถิงเอ่ยพลางวางจื่อเฉินลงและเดินมาหาจื่อซี ในจังหวะที่เขากำลังจะอุ้มลูกชายอีกคนขึ้นมา โม่จื่อซีก็ผลักมือเขาออกคล้ายจะบอกว่าเขาเสียใจที่พ่อของตัวเองต้องถูกเตือนก่อนถึงจะนึกได้
“…”
“เจ้าตัวแสบคนนี้ เขาโมโหเป็นตั้งแต่ยังเด็กขนาดนี้แล้วสินะ” ซย่าอวี้หลิงส่ายศีรษะและหัวเราะใส่โม่ถิง “งั้นแม่กลับบ้านก่อนแล้วกัน ฝากเด็กๆ ด้วยล่ะ”
“ขอบคุณนะครับแม่” โม่ถิงพยักหน้ารับ หลังจากซย่าอวี้หลิงออกไป เขาคุกเข่าลงตรงหน้าโม่จื่อซีและพินิจพิเคราะห์ลูกของตัวเอง
เขาจะพูดอะไรดีล่ะ เด็กคนนี้โตเกินวัยไปมาก ด้วยอายุเท่านี้เขาเข้าใจความคิดของผู้ใหญ่รอบตัวเขาแล้วหรือ เป็นไปไม่ได้น่า
“จื่อซี… ที่ป่าป๊าอุ้มจื่อเฉินก่อนหน้านี้เพราะเขากลัวว่าตัวเองจะตก ไม่ใช่เพราะรักมากกว่านะครับ”
เจ้าตัวน้อยเหลือบมองโม่ถิง หลังจากจ้องมองอยู่ชั่วครู่ ก็พลันกอดแขนเข้ากับขาของพ่อตัวเองและถูไถใบหน้าเข้ากับท่อนขา
โม่ถิงถึงกับอึ้ง
เจ้าแสบนี่ต้องโตมาเป็นตัวป่วนอย่างแน่นอน
“มีอะไรเหรอคะ” ถังหนิงเอ่ยถามขณะที่เดินออกมาจากครัวและเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องนั่งเล่น
โม่ถิงอุ้มจื่อซีขึ้นมาก่อนตอบ “ไม่มีอะไรหรอกครับ”
“ถ้าไม่มีอะไร อย่างนั้นก็มากินมื้อเย็นกันเถอะค่ะ…” ถังหนิงว่าขึ้นพลางอุ้มจื่อเฉินไว้ในอ้อมแขน จากนั้นทั้งคู่จึงตรงไปยังห้องทานอาหารพร้อมลูกคนละคน
“ผู้บริหารระดับสูงของไห่รุ่ยยังกดดันคุณอยู่หรือเปล่าคะ” ถังหนิงถามระหว่างมื้ออาหาร “ถึงยังไงฉันเองก็ทำได้ไม่ถึงระดับที่พวกเขาคาดหวังไว้ด้วย”
“ด้วยสถานการณ์ของซิงหลานและลัวเซิงตอนนี้ อีกไม่นานพวกเขาก็สามารถเซ็นสัญญากับไห่รุ่ยได้ เหลือแค่ซย่าหันโม่ที่ยังน่าเป็นห่วง” โม่ถิงตอบกลับ “คุณแค่ต้องรู้เอาไว้ แต่ไม่ต้องเอาเรื่องนี้มากังวลใจหรอกครับ”
“พวกเขาคงไม่ได้คิดว่าการส่งซย่าหันโม่ไปต่างประเทศเป็นจุดจบของเธอใช่ไหมคะ” ถังหนิงหัวเราะออกมา “นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น จริงๆ แล้วฉันมั่นใจว่าปาฏิหาริย์จะต้องเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้แน่ค่ะ นี่มันยังไม่ถึงปีเลยนี่คะ”
“ไม่มีใครสนใจวิธีการหรอก พวกเขาแค่อยากเห็นผลลัพธ์เท่านั้นแหละครับ” โม่ถิงตอบอย่างมีความนัย “สิ่งที่พวกเขาเห็นทั้งหมดคือซย่าหันโม่ที่เดินทางออกนอกประเทศไปอย่างน่าสมเพช”