สาธารณชนพากันวิพากษ์วิจารณ์ถึงบทบาทของถังหนิงในตอนนี้ต่อวงการบันเทิง พบว่าแม้ว่าเธอจะไม่ได้เป็นนางแบบหรือนักแสดง แต่เธอก็ยังสามารถสร้างผลงานที่ดีออกมาได้อีกมากมาย
ดังนั้นอยู่ๆ ศิลปินมากหน้าหลายตาจึงปรากฏตัวขึ้นด้วยคาดหวังว่าจะได้เซ็นสัญญากับถังหนิง ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะมีชื่อเสียงหรือไม่ ในสายตาของศิลปินเหล่านี้ตราบใดที่พวกเขาผ่านการเปลี่ยนแปลงโดยถังหนิง ก็จะประสบความสำเร็จในบางสิ่งอย่างแน่นอน ขนาดคนที่ขึ้นชื่อเรื่องฉาวอย่างซย่าหันโม่ยังได้รับการกอบกู้ชื่อเสียงขึ้นมาได้
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ถังหนิงไม่ได้สนใจกับการเซ็นสัญญากับศิลปินคนใหม่ มีเพียงสิ่งเดียวที่เธอต้องการทำ
ตอนนี้เมื่อซิงหลานได้เซ็นสัญญากับไห่รุ่ยแล้ว หลินเฉี่ยนจึงได้กลับมาอยู่ช่วยถังหนิงเป็นการชั่วคราว ก่อนถังหนิงจะส่งข้อมูลบางอย่างให้และมอบหมายให้ไปพบผู้กำกับที่ชื่อ เฉียวเซิน
เฉียวเซินเป็นชายสูงวัย อายุราวๆ หกสิบปี ในฐานะผู้กำกับ สถานะของเขาในวงการภาพยนตร์ค่อนข้างที่จะดูแปลกไปสักหน่อย
เขาเปลี่ยนสายอาชีพในช่วงบั้นปลายของชีวิต จากวิศวกรผันตัวไปสู่การเป็นผู้กำกับ เขาพูดมานานว่าอยากจะพัฒนาคุณภาพของเทคนิคพิเศษในภาพยนตร์จีน แต่ไม่มีใครยอมที่จะลงทุนกับข้อเสนอของเขา
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงสร้างผลงานโดยที่ไม่มีผู้ลงทุนสนับสนุนแม้ว่าจะมีบทที่ดีในมือก็ตาม
ด้วยเหตุนี้เขาจึงป่วยเป็นโรคซึมเศร้า และลงเอยด้วยการย้ายไปอยู่บนเกาะส่วนตัวภายใต้การดูแลของครอบครัว
ถังหนิงอยากให้เขากลับมาเพราะต้องการเติมเต็มความปรารถนาของชายสูงวัยคนนี้ เธอต้องการช่วยเขาสร้างภาพยนตร์ไซไฟที่เป็นความภาคภูมิใจของคนทั้งประเทศ
เมื่อได้ฟังความคิดของถังหนิง โม่ถิงก็เอ่ยแนะ “ถ้าคุณจริงจังกับการลงทุนสร้างหนังแบบนี้ มันจำเป็นต้องมียอดจำหน่ายตั๋วที่สูง ไม่อย่างนั้นคุณจะไม่มีทางที่จะคืนทุนได้”
“ฉันเตรียมใจไว้แล้วล่ะค่ะ” ถังหนิงว่าขึ้นด้วยท่าทีจริงจัง “คุณก็รู้ว่าฉันจริงจังแค่ไหน”
โม่ถิงเงียบไปชั่วครู่ก่อนลูบศีรษะเธออย่างแผ่วเบา “ถ้าคุณอยากทำก็เดินหน้าลงมือทำเลยครับ ถ้าคุณล้มละลายขึ้นมาผมจะดูแลคุณเอง…”
เขาไม่เห็นด้วยกับความคิดที่บ้าระห่ำของถังหนิง แต่เขาก็เข้าใจความมุ่งมั่นของภรรยาตัวเองดี
หากถังหนิงต้องการจะทำอะไรแล้ว ไม่มีใครที่รั้งเธอไว้ได้
“ถ้างั้นฉันอาจจะต้องออกจากปักกิ่งไปสักสองสามวันนะคะ” ถังหนิงบอกพลางโอบแขนรอบลำคอของอีกฝ่าย “ฉันอยากจะไปพบผู้อาวุโสเฉียวเซินด้วยตัวเองน่ะค่ะ ถิง…”
เขาไล้ไปตามหน้าผากของถังหนิงและกอดเธอแน่น “ผมให้คุณได้ทุกอย่างนั้นแหละครับ”
ความรักเป็นความสัมพันธ์ซึ่งเติมเต็มซึ่งกันและกัน
ถังหนิงจึงตอบแทนอ้อมกอดของเขากลับไปและเริ่มปลดกระดุมเสื้อของเขา ทั้งคู่แลกจูบกันอย่างรักใคร่ แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแต่ความรักของพวกเขาก็ยังคงไม่จางหาย…
จากนั้นทั้งสองขยับเข้ามาบริเวณห้องนั่งเล่น โม่ถิงได้ทีขึ้นคุมสถานการณ์และวางถังหนิงลงบนโซฟา ในขณะที่เขาสบตามองเธอ ร่างกายของพวกเขาก็แนบชิดเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว…
พวกเขาบดเบียดคลอเคลียกันอย่างเร่าร้อน ราวกับกำลังอยู่ในสนามมวยปล้ำ ด้วยความหลงใหลในตัวตนกันและกันที่ผลักโหมแรงอารมณ์ของพวกเขาให้ลุกโชน
คู่รักใช้เวลาทั้งคืนในการแสดงความรักที่เหลือล้นที่มีต่อกัน เป็นครั้งแรกที่ถังหนิงรู้สึกไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย ถึงกับคิดว่าแค่เดินขึ้นบันไดยังเป็นเรื่องยาก
โม่ถิงช้อนอุ้มถังหนิงเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของพวกเขา กระนั้นก็ตามทั้งคู่ก็ยังคงไม่ผละออกจากกัน เธออดไม่ได้ที่จะพึมพำขึ้นมาทั้งสติที่ยังเลือนราง “ไม่ค่ะ…ไม่ไหวแล้ว…”
ทั้งสองปล่อยตัวไปตามความปรารถนาของตัวเองเป็นครั้งแรก ด้วยโม่ถิงอยากจะกลืนกินถังหนิงและอยู่กับเธอตลอดไปจนแทบทนไม่ไหว
แม้ว่าเธอไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ดีนัก ถังหนิงก็ยังตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นเพื่อออกเดินทาง ทว่าในจังหวะที่เธอเตรียมของทุกอย่างและตั้งท่าจะเดินไปขึ้นรถที่จอดเอาไว้ เธอก็ได้ยินเสียงแตรดังมาจากชั้นล่าง
ถังหนิงก้มมองก็เห็นว่าโม่ถิงกำลังนั่งอยู่ในรถของเขาพลางส่งสัญญาณบอกให้เธอลงไปหา
เธอรีบวิ่งลงมาชั้นล่าง “เมื่อกี้นี้คุณไม่ได้ยังหลับอยู่เหรอคะ”
“ไปกันเถอะครับ ผมจะพาคุณไปเอง” เขาบอก
“คุณต้องไปทำงานนะคะ…”
“คุณคิดว่าผมจะปล่อยให้คุณไปเกาะร้างคนเดียวหรือยังไงครับ”
ถังหนิงหัวเราะคิกคักก่อนหยักหน้ารับ “แล้วลูกๆ ล่ะคะ”
“เดี๋ยวแม่จะมาดูแลพวกเขาครับ” ทันทีที่ถังหนิงก้าวเข้ามาในรถ โม่ถิงก็สตาร์ตเครื่องและออกรถทันที
เมื่อนึกถึงค่ำคืนที่บ้าระห่ำก่อนหน้านี้ ถังหนิงเหลือบมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ และพบว่าเขายังดูมีเรี่ยวแรงเต็มเปี่ยมเหมือนไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เมื่อคืนก่อนแม้แต่น้อย
“น่าจะใช้เวลาประมาณสี่ชั่วโมงกว่าจะถึงที่นั่น งีบสักหน่อยนะครับ เมื่อคืนคุณก็ไม่ค่อยได้นอนเท่าไร” โม่ถิงเอ่ยอย่างมีความหมายแฝง
ถังหนิงปรายตามองเขาและมุ่ยหน้าขึ้นมา จากนั้นจึงหยิบข้อมูลบางอย่างออกมาและเริ่มศึกษาประวัติของเฉียวเซิน
ไม่นานหลังจากนั้นหลินเฉี่ยนก็โทรมาหาถังหนิง เดิมทีหญิงสาวทั้งสองคนตกลงว่าจะออกเดินทางไปด้วยกัน แต่ทว่าโม่ถิงกลับทิ้งเธอไว้ข้างหลัง
“เราน่าจะบอกหลินเฉี่ยนก่อนหน้านี้ ฉันรู้สึกผิดจังเลยค่ะ”
“คุณคิดมีเธอหรือมีผมอยู่ข้างๆ ดีกว่ากันล่ะครับ หือ” โม่ถิงถามด้วยน้ำเสียงยั่วยวนระคนน่าขนลุก
ชวนให้ถังหนิงหัวเราะออกมา “คุณนี่ทำได้ทุกอย่างจริงๆ”
ดังนั้นหลินเฉี่ยนที่ลากกระเป๋าออกมาจากห้อง จึงมีอันต้องแบกกลับเข้าไปอีกครั้ง แต่ทว่าเมื่อเธอก้าวเข้าไปในลิฟต์ก็บังเอิญพบกับผู้จัดการของเฉวียนจื่อเยี่ย แน่นอนว่ามันได้กระตุ้นต่อมสงสัยในตัวเธอ
“เอ่อ… พี่ชายของคุณไม่ได้บอกเหรอว่าเขากำลังจะย้ายมาอยู่ข้างห้องคุณน่ะ” ผู้จัดการของเขายักไหล่
หลินเฉี่ยนขมวดคิ้วมุ่น ตั้งใจไว้ว่าจะเอากระเป๋าไปเก็บและไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับห้องข้างๆ แต่ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในห้องก็ต้องตกตะลึง เฉวียนจื่อเยี่ยได้สั่งให้คนมาทุบผนังระหว่างห้องของพวกเขาเสียแล้ว
เดิมทีเขาคิดว่าเธอจะไม่อยู่ช่วงหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าเธอจะกลับมาเร็วขนาดนี้ พลันสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงออกจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อย
“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย” หลินเฉี่ยนกอดอกขณะที่พยักพเยิดคางไปทางกำแพงที่ถูกทุบทิ้ง
เขากลับไปนั่งลงบนโซฟาด้วยท่าทีตกใจ แต่สุดท้ายก็ยักไหล่และเอ่ยโกหกออกไป “ฉันสั่งทุบผิดผนังน่ะ”
“บอกให้คนของนายซ่อมมันซะ” เธอเตือน
“แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำลงไปนี่นา” เฉวียนจื่อเยี่ยว่าขึ้นพลางยกแขนโอบไหล่หลินเฉี่ยน จากนั้นจึงออกปากสั่งคนงาน “ทุบต่อไปครับ…”
“นี่มันบ้านฉันนะ”
“ฉันเป็นพี่ชายของเธอ” เขาโต้กลับอย่างหน้าตาเฉย “เป็นธรรมดาที่พี่น้องจะอยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอ”
“เราไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดสักหน่อย”
“พวกเราสนิทสนมกันมากกว่านั้นอีกนะ”
“นายไม่กลัวว่าแม่ของนายจะมาเจอเราหรือยังไง”
“ฉันกลับอยากให้เธอเห็นเราอยู่ด้วยกันเสียอีก บอกเรื่องนี้กับเธอไปก็ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” ท่าทีของเขากลับมาเฉื่อยชาและแฝงแววร้ายกาจเหมือนอย่างเคย “เธอน่าจะรู้ว่าฉันไม่กลัวที่จะถูกตามตัวเจอ”
“แต่ฉันกลัวไงเล่า” หลินเฉี่ยนตอกกลับ
“เธอไม่จำเป็นต้องกลัวหรอก ฉันจะรับผิดชอบดูแลเธอเอง” เขาว่าพลางเชยคางอีกฝ่ายขึ้น “เฉี่ยนเฉี่ยน เลิกหลบหน้าฉันได้แล้ว…”
เธอไม่ได้ตอบกลับ ด้วยไม่อยากมีปากเสียงกับเขาให้อารมณ์เสีย “ฉันจะบอกสิ่งที่แย่ที่สุดที่จะตามมาให้นะ ถ้าแม่นายหัวใจวายตายหรือตัดสินใจฆ่าตัวตายขึ้นมา ฉันจะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งนั้น”
“ฉันบอกเธอแล้วไงว่าฉันจะเป็นคนรับผิดชอบเอง”
เธอนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะผละตัวออกจากเฉวียนจื่อเยี่ยและกลับเข้ามาในห้องนอนตัวเอง
แม้ว่าถังหนิงจะออกเดินทางแต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่มีอะไรต้องทำ เธอไม่ได้มีเวลามาวุ่นวายกับเขามากนัก
หลงเจี่ยยังคงเป็นผู้จัดการให้ลัวเซิงต่อไป ในขณะที่เธอรับหน้าที่ดูแลซย่าหันโม่
ทว่าในตอนนี้เธอมีสิ่งหนึ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่า ไอ้บ้าเฉวียนจื่อเยี่ยนั่น
พวกเขาตกลงที่ไม่เข้าใกล้กันและรับปากว่าจะต่างคนต่างอยู่ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ตั้งแต่ที่เลือดของชายคนนี้เริ่มไหลเวียนในร่างกายของเธอ อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าการทำร้ายเขาเป็นเรื่องที่โหดร้ายเกินไป แม้จะรู้ถึงจุดจบของพวกเขาก็ตามแต่ก็ไม่อาจห้ามใจตัวเองเอาไว้ได้
“เฉี่ยนเอ๋อร์ ออกมากินข้าวได้แล้ว… ฉันทำอาหารเอาไว้”