ความหวังเดียวของเฉียวเซินคือประธานโม่
จะว่าไปสัญญาของถังหนิงก็อยู่ในมือโม่ถิง เขาจึงลงเอยด้วยการติดต่อโม่ถิงและหวังว่าเขาจะช่วยโน้มน้าวให้เธอรับบทใน ดินแดนชำระบาป ในฐานะนักแสดงนำหญิง เขาไม่ต้องการถ่ายทำภาพยนตร์ต่อไปกับคนอื่น
“ผมต้องขอโทษผู้กำกับเฉียวด้วยนะครับที่จำเป็นต้องปฏิเสธเหมือนกัน” โม่ถิงตอบกลับอย่างสุภาพ “ภรรยาผมตั้งท้องอยู่ เธอมีเรี่ยวแรงพอกับการจัดการอยู่เบื้องหลังเท่านั้นครับ เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะถ่ายทำหนังที่เต็มไปด้วยฉากต่อสู้แบบนั้นได้หรอกครับ”
เฉียวเซินถึงกับนิ่งอึ้งไป เขานึกไม่ถึงว่านี่จะเป็นเหตุผลของถังหนิง
“โธ่ น่าเสียดายจริงๆ ”
เฉียวเซินไม่อยากจะยอมรับความจริง หากแต่โม่ถิงพูดกับเขาถึงขนาดนี้ เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้
โชคดีที่โม่ถิงเอ่ยปลอบใจเขา
“ถ้าเป็นแบบนั้น งั้นฉันคงทำได้แค่อวยพรให้ถังหนิงสินะ”
โม่ถิงพยักหน้ารับ เขาไม่มีทางปล่อยให้ถังหนิงไปเสี่ยงเพื่อภาพยนตร์เด็ดขาด และถังหนิงก็คงจะไม่เห็นด้วยเช่นกัน
ถึงอย่างไรเธอก็อยากมีลูกสาวใจแทบขาด…
หลังจากเฉียวเซินจากไป ลู่เช่อจ้องมองโม่ถิงอยู่นานและเอ่ยแนะนำ “ประธานครับ ผมคิดว่าคุณผู้หญิงคงยังไม่ได้ดู ผู้รอดชีพ นะครับ ให้ผมจัดการให้ไหมครับ”
“ไม่จำเป็นหรอก เดี๋ยวฉันจะจัดการเอง” โม่ถิงว่าขึ้นก่อนกลับไปจดจ่อกับเอกสารตรงหน้าเขา
…
ในคืนนั้น โม่ถิงกลับมาถึงบ้านและช่วยถังหนิงพาลูกๆ ทั้งสองคนเข้านอน จากนั้นจึงนำเสื้อผ้าที่ใส่สบายตัวมาให้เธอเปลี่ยน “ออกไปข้างนอกกันหน่อยไหมครับ”
“แล้วลูกๆ ล่ะคะ”
“เดี๋ยวแม่จะมาดูแลให้ครับ” เขาตอบ
ถังหนิงพยักหน้ารับและเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ทั้งคู่อยู่ในชุดสบายๆ และพยายามทำตัวให้เงียบที่สุดในตอนที่ออกจากบ้าน ไม่มีใครคาดคิดว่าโม่ถิงจะพาถังหนิงตรงมาที่โรงภาพยนตร์ และพามาที่ที่คนพลุกพล่านมากที่สุดแห่งหนึ่งด้วย สุดท้ายแล้วทั้งคู่ถึงได้เข้ามาด้านในโรงก่อนเวลาฉายโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ถังหนิงรู้ว่าโม่ถิงพาเธอมาดู ผู้รอดชีพ ความจริงแล้วเธอรู้ว่าเขาเลือกโรงภาพยนตร์เช่นนี้เพื่อให้เธอได้สัมผัสบรรยากาศจริงที่ภาพยนตร์ทำให้เกิดขึ้น
ไม่นานแฟนๆ ภาพยนตร์ก็ทยอยเข้ามาในโรง ที่นั่งส่วนใหญ่ถูกจับจองและถังหนิงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แน่นอนว่าเธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าน้อยๆ
“ตอนที่คุณอยู่ที่นี่ คุณเป็นแค่ผู้ชมธรรมดา ผ่อนคลายหน่อยครับ”
เมื่อได้ยินคำปลอบโยนของโม่ถิง ถังหนิงพยักหน้ารับและค่อยๆ ใจเย็นลง
หลังจากโฆษณาสิบนาทีจบลงภาพยนตร์ก็เริ่มฉาย
มันเป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย ในขณะที่เธอมองตัวเองที่ปรากฏบนจอกว้างและผ่านเลนส์กล้อง และค่อยๆ เริ่มรู้สึกว่าไม่ได้มองตัวเองอยู่แต่กลับเป็นคนแปลกหน้า
กล่าวได้ว่าผู้กำกับถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างน่าประทับใจ แม้ว่าเขาจะต้องเจอกับเรื่องของสวี่ซิน แต่ก็ไม่ได้กระทบกับภาพยนตร์แต่อย่างใด
ตลอดหนึ่งร้อยสามสิบหกนาที ทุกคนต่างดื่มด่ำไปกับภาพยนตร์อย่างไม่มีข้อสงสัย
ผู้คนส่วนใหญ่ได้สัมผัสกับความรู้สึกหลากหลายแตกต่างกันไป ทว่าเมื่อภาพยนตร์จบลง พวกเขาไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกของตัวเองอย่างไรและบอกได้เพียงสิ่งเดียว “การแสดงของถังหนิงนี่มันระดับพระเจ้าชัดๆ ”
นอกจากนั้นบางคนยังพูด “ฉันจะไม่ขึ้นเครื่องบินอีกแล้ว มันฝังใจฉันไปแล้ว!”
หลังภาพยนตร์มาถึงตอนจบ แสงไฟในโรงสว่างขึ้น เพราะถังหนิงและโม่ถิงสวมผ้าปิดปากอยู่ พวกเขาจึงดูโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ
“เฮ้ ดูสิ พวกเขาเป็นคนดังหรือเปล่าน่ะ”
“อาจจะนะ ฉันเห็นหน้าพวกเขาผ่านผ้าปิดปากไม่ชัดเท่าไร”
ทั้งคู่ไม่รู้ว่าตัวเองถูกจับได้ โม่ถิงจึงคล้องแขนกับถังหนิงด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนเอ่ย “ไปกันเถอะครับ”
ถังหนิงพยักหน้า ในจังหวะที่เธอกำลังจะเดินลงบันไดพร้อมกับโม่ถิง อยู่ๆ แฟนๆ บางคนก็ปรี่เข้ามาหาพวกเขาและตะโกน “ถังหนิง ถังหนิงนี่นา!”
ขายาวๆ ของเธอได้เปิดเผยตัวตนของเธอเสียแล้ว
โม่ถิงโอบถังหนิงไว้ในอ้อมแขน หากแต่แฟนๆ กลับยิ่งเริ่มกรูกันเข้ามาล้อมรอบ
“ถังหนิง คุณมาดูหนังของตัวเองเหรอคะ”
“ถังหนิง คุณแสดงดีมากเลยค่ะ เซ็นลายเซ็นให้พวกเราได้ไหมคะ”
“ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ พวกเราออกไปก่อนจะได้ไม่รบกวนการทำงานของทางโรงหนังได้ไหมคะ” ถังหนิงเอ่ยพลางถอดผ้าปิดปากออก
ผู้ชมต่างเข้าใจและหันกลับออกไปทันที แต่พวกเขามักจะหันกลับมามองถังหนิงเรื่อยๆ คล้ายกลัวว่าเธอจะวิ่งหนีไป
อย่างไรก็ตาม ถังหนิงรักษาคำพูดเสมอ
ตลอดเวลามานี้ โม่ถิงพยายามกันถังหนิงจากคนภายนอก แต่ดูเหมือนเขาจะประเมินสถานะในวงการของผู้หญิงของเขาน้อยเกินไป ผ่านไปเพียงไม่นาน ศูนย์การค้าหลายชั้นที่โรงภาพยนตร์ตั้งอยู่ก็เต็มไปด้วยผู้คน
จนกระทั่งตอนที่พวกเขาออกมาจากห้างได้ ในที่สุดถังหนิงจึงได้หยุดเดิน และค่อยๆ หันกลับไปโค้งให้ทุกคนทั้งยังอยู่ในอ้อมแขนของโม่ถิง “ขอบคุณทุกคนที่คอยสนับสนุน ผู้รอดชีพ นะคะ ในฐานะผลงานเรื่องสุดท้ายของฉัน หวังว่าทุกคนจะมีความสุขกับมันนะคะ”
ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างลือกันว่านี่เป็นภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายของถังหนิง ในขณะที่พวกเขายังคงมีความหวังอยู่ แต่นึกไม่ถึงว่าคำพูดนี้จะออกมาจากปากของถังหนิง
มันแปลกที่นักแสดงถังหนิงและผู้จัดการถังหนิงเหมือนกับเป็นคนละคนกัน ในขณะที่คนหนึ่งอ่อนน้อมถ่อมตนอีกคนกลับมีวาจาเชือดเฉือน
ยากที่ใครๆ จะคิดว่าพวกเธอเป็นคนคนเดียวกัน จะว่าไปแล้วในฐานะผู้จัดการ ถังหนิงสามารถพูดในสิ่งที่ตัวเองต้องการได้
“ถังหนิง ช่วยกลับมาเถอะนะคะ การแสดงของคุณมันดีมากจริงๆ ค่ะ”
“ถูกครับ พวกเราทั้งหมดเป็นแฟนของคุณ เราเข้าใจว่าคุณผ่านเรื่องแย่ๆ อย่างเรื่องของสวี่ซินมานะครับ”
“ถังหนิง ได้โปรดอย่ายอมแพ้กับพวกเราเลยนะคะ”
“ถังหนิง…” ทุกคนต่างคร่ำครวญมาจากก้นบึ้งของจิตใจ นี่คงเป็นครั้งแรกที่สาธารณชนขอร้องให้ศิลปินกลับมาแสดงอีกครั้ง
เป็นเพราะว่าเธอคือหนึ่งในล้าน
โม่ถิงรู้ว่าถังหนิงกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เขาจึงโอบไหล่เธอก่อนตบเบาๆ “ไปกันเถอะครับ”
“ถังหนิง…”
“อย่าเศร้าไปเลยนะคะ ฉันเป็นแค่ศิลปินคนหนึ่ง ยังไงให้เวลาฉันหน่อยนะคะ ฉันจะสร้างปาฏิหาริย์ให้ทุกคนได้เห็นด้วยวิธีที่ต่างออกไปค่ะ รอฉันหน่อยนะคะ!” พูดจบโม่ถิงก็พาเธอขึ้นรถก่อนทั้งคู่จะหายลับตาทุกคนไปอย่างรวดเร็ว
“มันก็ดีกว่าทิ้งให้พวกเรามีความหวังนะ”
“ถังหนิงที่น่ารัก เราจะรอคุณเสมอนะ”
เรื่องของสวี่ซินสร้างความเจ็บปวดให้ถังหนิงจนทำให้ถึงกับผันตัวไปเป็นผู้จัดการ เพราะเธอต้องการช่วยคนในวงการที่ถูกมองข้ามและถูกทำร้าย
โชคร้ายที่ไม่มีใครสามารถคลี่คลายปมความผิดหวังในใจเธอได้
“เธอต้องเหนื่อยจากความขัดแย้งทั้งหมดแน่ ให้เวลาเธอได้พักหน่อยเถอะ ฉันมั่นใจว่าเธอจะกลับมาอย่างแน่นอน”
ระหว่างทางกลับบ้าน ถังหนิงยังคงนิ่งเงียบ
ดังนั้นโม่ถิงจึงหันมามองเธอและถามขึ้นเสียงอ่อน “คิดอะไรอยู่เหรอครับ”
“วันนี้ฉันอาจจะสำคัญในใจพวกเขา แต่พวกเขาก็จะลืมฉันไปในพริบตาเดียว”
เมื่อได้ยินดังนั้น โม่ถิงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ใครสนใจคนอื่นกันล่ะครับ ตราบใดที่คุณสำคัญในใจของผมมาเสมอก็พอแล้ว”
“อย่าเพิ่งใจร้อนสิคะ ฉันจะกลับมาอย่างแน่นอนค่ะ!”