หลังจากหมดสติไปนานในที่สุดหลินเฉี่ยนฟื้นขึ้นมาในเวลาราวห้าทุ่มครึ่ง ทันทีที่เปิดเปลือกตาขึ้น เธอเห็นใบหน้าของหลี่จิ่น เธอตกใจไปเล็กน้อยในทีแรกหากแต่ก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว
“เฉี่ยนเฉี่ยน…”
“คุณไม่เป็นไรสินะคะ” หลินเฉี่ยนเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งขณะมองไปที่หลี่จิ่น “ฉันอยากจะนอนพักอีกสักหน่อยค่ะ”
เขายื่นมือออกไปกุมมือข้างขวาของเธอเอาไว้พลางพยายามพูดเสียงอ่อนโยนที่สุด “นอนพักเถอะครับ ผมจะอยู่ตรงนี้เอง”
หลินเฉี่ยนค่อยๆ หลับตา ทว่าในจังหวะถัดมาอยู่ๆ ดวงตาของเธอก็เปิดขึ้นอีกครั้ง “ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหมคะ”
“ไม่ใช่อย่างแน่นอนครับ” หลี่จิ่นตอบพลางคว้าตัวเธอเข้ามากอดไว้แน่น “ผมผิดเองที่ไปหาคุณช้าอีกแล้ว”
“ไม่เห็นต้องพูดเรื่องไร้สาระอย่างนั้นเลยค่ะ ฉันรู้ว่าคุณไม่มีทางเลือก คุณควรโทรหาพ่อแม่ของคุณนะคะ พวกท่านเป็นห่วงคุณมากจริงๆ ” พูดจบหลินเฉี่ยนก็หลับตา ในครั้งนี้เธอคงได้หลับอย่างสนิทใจเสียที
หลี่จิ่นไม่รู้ว่าจะปลอบใจเธออย่างไร มาถึงป่านนี้เขาถึงได้รู้ว่าตัวเองละเลยคนอื่นขนาดไหน
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าหลินเฉี่ยนจะเห็นด้วยหรือเปล่า เขารู้สึกว่ามีสิ่งหนึ่งที่เขาทำได้
เขาช้อนตัวหลินเฉี่ยนขึ้นจากเตียงและอุ้มเธอออกจากโรงพยาบาล
เธออึ้งกับการกระทำอย่างกะทันหันของเขา จึงรีบโอบรอบคอเขาก่อนเอ่ยถาม “คุณจะทำอะไรคะ”
“ผมจะพาคุณไปที่หนึ่งครับ” สิ้นประโยค หลี่จิ่นวางร่างของเธอเข้าไปในรถ และขับมุ่งหน้าเข้าไปในป่า ไม่นานก็มาถึงยอดเขา สถานที่ที่ราวกับอยู่ห่างท้องฟ้าเพียงเอื้อมมือ
หลี่จิ่นเปิดหลังคารถและดึงหลินเฉี่ยนมาเอนกายพิงกับตัวเองไว้ ขณะที่ห่อตัวเธอไว้ใต้ผ้าห่มอย่างมิดชิด
“ท้องฟ้าตอนกลางคืนที่นี่สวยที่สุดในปักกิ่งครับ”
หลินเฉี่ยนเข้าใจการกระทำที่ละเอียดอ่อนของเขา หากแต่หัวใจของเธอกลับเริ่มเต้นระรัวขณะที่เบียดกายเข้าสู่อ้อมกอดของหลี่จิ่น สัมผัสได้ถึงแผงอกแน่นที่แนบชิดกับแผ่นหลังของเธอ ความจริงแล้วเธอยังรู้สึกถึงจังหวะหัวใจของเขาด้วยซ้ำ
“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับ”
“ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าอะไรพาให้ฉันมาที่นี่เหมือนกันค่ะ ฉันรู้แต่ว่าฉันมาถึงที่นี่แล้วฉันจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด แต่ไม่คิดว่าร่างกายของฉันจะอ่อนแอขนาดนี้”
หลี่จิ่นไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำพร้อมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
ตลอดช่วงสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาไม่นึกว่าตัวเองจะมีคนรักเป็นตัวเป็นตน ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่ามันคงไม่ง่ายนัก ทว่าในตอนนี้ที่เขากำลังกอดหลินเฉี่ยนไว้ในอ้อมแขน ในที่สุดเขาก็รู้ซึ้งว่าร่างกายของคนเราไม่อาจฝืนหัวใจไปได้ และมันอยู่นอกเหนือการควบคุมของเขา
เขาอยากโอบกอดเธอเอาไว้ด้วยความรักที่มีให้กับเธอ
แม้ว่าท้องฟ้าในยามค่ำคืนจะงดงาม แต่ไม่นานหลินเฉี่ยนก็เริ่มจามออกมาเพราะความหนาวเย็น หลี่จิ่นรู้ว่าเธอคงไม่อาจอยู่กลางแจ้งท่ามกลางสายลมในตอนกลางคืนได้นานนัก เขาจึงรีบพยุงเธอกลับไปนั่งและมุ่งหน้าตรงไปยังบ้านตระกูลหลี่
“นี่ไม่ใช่ทางกลับบ้านคุณนี่คะ”
“อือหึ” เขาตอบรับก่อนก้าวออกจากตัวรถและอุ้มเธอไว้ในวงแขนอีกครั้ง
สมาชิกครอบครัวหลี่ถึงกับอึ้งไป หลี่จิ่นไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนมาที่บ้านมาก่อน ทั้งตอนนี้เขายังอุ้มเธอเข้ามาในบ้านอีก แน่นอนว่าคุณนายหลี่และคุณพ่อหลี่เป็นหนึ่งในนั้น พวกเขามองค้างขณะที่ตามหลี่จิ่นเข้าไปที่ห้องของเขา
“ลูก…”
“แม่ครับ ช่วยทำซุปให้ผมได้ไหมครับ”
“ได้สิจ๊ะ” คุณนายหลี่รีบหันกลับไปทันที พร้อมคุณพ่อหลี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างและกระแอมในลำคอ เขายังคงอยู่ในอาการตกตะลึง ลูกชายของเขาช่างกล้าหาญจริงๆ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหญิงสาวคนนี้ยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นจริงเป็นจังด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังพาเธอมาถึงที่บ้าน
แน่นอนว่าหลินเฉี่ยนเองก็ตกใจจนพูดไม่ออกเช่นกัน เธอจึงแสร้งทำเป็นหลับไปเพื่อหลีกเลี่ยงความประหม่า
“หลี่จิ่น ออกมาสักเดี๋ยวสิ” เมื่อเห็นว่าเขาช่วยเธอให้นอนดีๆ แล้ว คุณพ่อหลี่เรียกลูกชายของตัวเองออกมาที่ห้องนั่งเล่น “นี่มันเรื่องอะไรกันล่ะ ทำไมอยู่ดีๆ ลูกถึงอุ้มแม่หนูคนนี้กลับมาที่นี่”
“เธอรอผมอยู่ที่ฐานทัพอยู่ทั้งวันทั้งคืนจนเป็นลมไปครับ ผมกลัวว่าตัวเองจะดูแลเธอได้ไม่ดีเลย…” หลี่จิ่นตอบกลับ
“เด็กคนนี้เป็นลูกสาวที่ตระกูลเฉวียนรับมาเลี้ยงใช่ไหม” คุณพ่อหลี่ถามขึ้น
“ครับ”
“เธอดูเป็นเด็กว่าง่ายดีนะ ไม่มีอะไรระหว่างเธอกับพี่ชายของเธอจริงๆ ใช่ไหม”
“ไม่มีครับ” เขายืนกรานด้วยความมั่นใจ
คุณพ่อหลี่เชื่อในการตัดสินใจของลูกชาย เขาจึงพยักหน้ารับ “โอเค ไหนๆ ลูกก็พาเธอมาถึงที่นี่แล้ว แม่ของลูกกับพ่อก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วล่ะ เราไม่ได้ต้องการอะไรจากลูกสะใภ้ของเรา แค่เธอเป็นคนดีก็พอแล้ว”
“เดี๋ยวพ่อก็จะรู้เองหลังจากได้รู้จักเธอครับ” หลี่จิ่นออกปากรับรอง
ไม่นานคุณนายหลี่ก็ทำซุปเสร็จและถือชามเข้ามาในห้อง ในตอนนี้เองที่หลินเฉี่ยนไม่อาจแกล้งตายได้อีกต่อไปเพราะคุณนายหลี่จับได้เสียแล้ว
“หนู ลุกขึ้นมาทานซุปสักหน่อยนะ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา ฉันรู้ว่าจริงๆ แล้วเธอไม่ได้หลับอยู่”
หลินเฉี่ยนไม่มีทางเลือกนอกจากลุกขึ้นมาและเอ่ยขอโทษ “ฉันขอโทษนะคะ คุณป้า คือว่าฉันไม่รู้จะทำตัวยังไงน่ะค่ะ…”
“เธอไม่ได้เป็นคนเดียวหรอกนะ พวกเราเองก็งงแทบตายเหมือนกัน” คุณนายหลี่ว่าขึ้นด้วยท่าทีไม่คิดมาก “แต่ไหนๆ เธอก็อยู่ที่นี่แล้ว หมายความว่าพวกเธอมีความรู้สึกดีๆ ต่อกันใช่ไหมจ๊ะ”
ใบหน้าของหลินเฉี่ยนขึ้นสี ทว่าเธอก็พยักหน้าตอบรับอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เยี่ยมไปเลยจ้ะ งั้นเราหาโอกาสมาตกลงกันนะจ๊ะแล้วพวกเธอจะได้คบกันอย่างเป็นทางการสักที…”
นี่คุณนายหลี่กลัวว่าเธอจะหนีไปหรืออย่างไรกัน
หลินเฉี่ยนชักเริ่มกลัวครอบครัวนี้ซะแล้วสิ…
…
ข่าวเรื่องหลินเฉี่ยนลอยเข้าหูถังหนิงอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่เธอจะบุกไปที่ฐานทัพทหารเพื่อรอหลี่จิ่น เธอยังถูกลากไปพบพ่อแม่ของเขาที่บ้านอีกด้วย พวกเขาคืบหน้าไปกันอย่างรวดเร็วพอๆ กับตอนที่เธอกับโม่ถิงเจอกันครั้งแรกเลย
ทว่าแน่นอนว่าในฐานะเพื่อน เธอยินดีที่หลินเฉี่ยนจะได้มีความสุขสักที
ในขณะเดียวกัน ราชินีมด ได้เริ่มถ่ายทำอย่างเป็นทางการ
หากแต่ในตอนที่เคทมาถึงปักกิ่ง เธอยังคงเล่นแง่ไม่เลิก เดิมทีเธอได้เพิ่มเงื่อนไขบางข้อลงไปในสัญญาที่ทำกับเฉียวเซินแล้ว แต่ก่อนการถ่ายทำจะเริ่มขึ้นเธอกลับยังเรียกร้องเพิ่มเติมอีก
เฉียวเซินโกรธจนกินอะไรไม่ลงตลอดทั้งวัน เขาไม่อาจทำใจยอมรับได้แต่ก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน
ถึงอย่างไรเธอเองก็เป็นบุคคลที่หาตัวจับได้ยาก เขาจึงต้องรักษาเธอไว้
ในตอนนี้โม่ถิงยังไม่ได้เริ่มเข้ากองถ่าย มีเพียงตัวละครสมทบที่เริ่มถ่ายทำฉากของตัวเอง ในขณะที่ทีมงานทั้งหมดรับปากอย่างมั่นอกมั่นใจ นักแสดงคนอื่นๆ ยังไม่ได้เห็นหน้านักแสดงนำทั้งสองคนด้วยซ้ำ พวกเขารู้เพียงว่านักแสดงนำหญิงเป็นชาวฝรั่งเศสชื่อว่าเคท
เคทเป็นหญิงสาวที่ทุกคนเฝ้าใฝ่หา แต่เฉียวเซินรู้ว่าเมื่อมีคนเข้ามาเกี่ยวพันกับเธอจะต้องเป็นเรื่องใหญ่โตทุกครั้งไป
สุดท้ายเฉียวเซินจึงบอกถังหนิงถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับเคท แม้ว่าเธอจะไม่อยากมาพบเคท เธอก็ต้องลงมาจัดการด้วยตัวเองเพื่อการถ่ายทำภาพยนตร์ที่ราบรื่น
ทีมงานของเคททำตัวอวดดีไม่น้อย จะว่าไปแล้วหากไม่ใช่เพราะจำนวนเงินที่เสนอมา เคทไม่มีทางร่วมถ่ายทำเช่นนี้แน่
นอกจากผลประโยชน์เรื่องเงินแล้ว ทีมงานฝ่ายผลิตที่ไม่มีชื่อเสียงแม้แต่น้อยคงอาจทำงานผิดพลาดจนไม่เหลือชิ้นดี
พวกเขากำลังอ้างว่านี่เป็นภาพยนตร์ไซไฟที่ยิ่งใหญ่เรื่องแรกของจีน แต่สุดท้ายพวกเขากลับเอานักแสดงฝรั่งเศสมาเล่น หากพวกเขาแน่จริงก็ควรใช้คนในประเทศของตัวเอง
“พวกคนกระจอก!” พวกเขาคิด