หลังจากมองหันเซียวเดินจากไป หลินเฉี่ยนหันไปหาหลี่จิ่น “คุณมีอะไรอีกไหมคะ ฉันต้องไปทำงานแล้ว”
เขาดูออกว่าเธอยังคงไม่สบอารมณ์อยู่ จึงจับเธอหันหลังและออกเดินนำเธอไป “เดี๋ยวผมจะเดินไปส่งคุณเอง…”
“ไม่จำเป็นหรอกค่ะ…” น้ำเสียงของหลินเฉี่ยนแฝงความเย็นชาเต็มเปี่ยม เธอมั่นใจว่าเขารู้ว่าหันเซียวรู้สึกอย่างไร แต่ก็ยังยอมให้เธอมาอยู่ใกล้ๆ นี่มันหมายความว่าอะไรกัน
หลี่จิ่นรู้ว่ายังมีบางอย่างกวนใจเธออยู่ จึงยกแขนขึ้นโอบไหล่เจ้าตัวขณะที่พวกเขาเดินออกจากลานฝึกไป
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เพื่อนร่วมงานของเขาที่เหลือรู้สึกงุนงงขึ้นมา “จะไปโทษที่พี่สะใภ้โกรธได้ยังไงกัน สิ่งที่หันเซียวทำมันเป็นการเล่นไม่ซื่อชัดๆ “
“ความรักมันบังคับกันไม่ได้สักหน่อย นายพลเองก็รู้ว่าหันเซียวรู้สึกยังไงมาตลอดหลายปีนี้ เขาก็รักษาระยะห่างกับเธอมาตลอด เห็นกันอยู่ว่าเขาไม่เคยมีใจให้เธอเลย”
“พอเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของนายพลแล้ว เขาต้องรักเธอมากแน่ๆ เลย”
หลินเฉี่ยนไม่สนใจสิ่งที่พวกเขาพูดกัน ทำเพียงสะบัดตัวออกจากวงแขนของเขา
“เฉี่ยนเฉี่ยน…”
“ปล่อยฉันค่ะ”
“ผมรักษาระยะห่างกับหันเซียวมาตลอดและไม่เคยทำตัวล้ำเส้นเลยนะครับ แถมยังไม่เคยให้ความหวังเธอเลยแม้แต่นิดด้วย” หลี่จิ่นอธิบาย “ที่ฐานทัพผมเป็นแค่ทหารคนหนึ่ง ผมเอาตัวเองไปเกี่ยวข้องกับเรื่องชู้สาวไม่ได้และจะไม่ทำเด็ดขาดครับ…
…คนที่ผมชอบก็คือคุณ ไม่ใช่คนอื่นนะครับ…
…เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกครับ ผมสัญญา”
ได้ยินดังนั้น หลินเฉี่ยนหันมาสบตาหลี่จิ่น “คุณผิดสัญญาเรื่องวันที่คุณจะกลับมาหาหลายครั้งแล้วนะคะ ครั้งนี้คุณจะมารับปากว่าจะรักษาสัญญาได้ยังไงกันคะ”
“พอเป็นเรื่องงาน ผมเป็นแค่ทหารของประเทศนี้ ผมไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามคำสั่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องชีวิตส่วนตัวผมจะไม่มีทางโกหกคุณเด็ดขาดครับ” เขาว่าขึ้นอย่างใจเย็น “ผมรู้ว่าคุณรู้สึกเอาแน่เอานอนกับผมไม่ได้ ผมเลยขอกับหัวหน้าของผมไว้แล้วว่าถ้าเราแต่งงานกันคุณจะสามารถเข้าร่วมกองทัพได้ครับ”
“ใครอยากจะทำอย่างนั้นกันคะ ฉันก็มีเรื่องของตัวเองที่อยากจะทำนะคะ” เธอท้วงขึ้นพร้อมกับอารมณ์กรุ่นโกรธที่คลี่คลายลงไปบ้าง
“อย่างนั้นก็ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวผมขับรถไปส่งคุณที่ทำงานเอง”
ความจริงแล้วหลี่จิ่นทำให้มั่นใจว่าที่หันเซียวปรากฏตัวในวันนี้เพราะเขาต้องการอธิบายเรื่องนี้ต่อหน้าเธอให้ชัดเจน มันแสดงให้เห็นว่าเขารับผิดชอบเพียงใดเมื่อเป็นเรื่องของความรัก หากแต่หลินเฉี่ยนยังคงทนไม่ได้ที่หันเซียวจะยังคงอยู่ข้างๆ หลี่จิ่น
อย่างที่หันเซียวคาดการณ์ไว้ เรื่องนี้เข้ามากวนใจเธอ
มันช่างกวนใจเธอเหลือเกิน
หลี่จิ่นเข้าใจว่าหลินเฉี่ยนคิดอะไรอยู่ ดังนั้นทันทีที่พวกเขาก้าวขึ้นรถ เขาพลันเชยคางเธอขึ้นและรั้งเธอเข้ามากดจูบทันทีก่อนเอ่ยขึ้น “มั่นใจในตัวเองหน่อยสิครับ โอเคไหม…
…ผมหวังว่าจะเห็นสีหน้าแสดงความเป็นเจ้าของของคุณแบบนี้ทุกครั้งที่คุณเจอหันเซียวนะครับ…
…เพราะมันทำให้รู้ว่าคุณใส่ใจผมอยู่”
หลินเฉี่ยนมองค้อนใส่ ในจังหวะที่เธอกำลังจะตอบโต้กลับ อยู่ๆ นายทหารคนหนึ่งก็วิ่งออกมาขวางทางเอาไว้ “นายพลหลี่ครับ ท่านผู้ตรวจการต้องการพบคุณด่วนครับ”
“คุณไปเถอะค่ะ ฉันกลับของฉันเองได้” เธอเข้าใจว่าหลี่จิ่นกำลังยุ่ง เรื่องที่เขาเสียเวลาครึ่งค่อนวันเพื่อเธอก็ลำบากมากพออยู่แล้ว
หลี่จิ่นไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงหยิบกระดาษที่พับไว้ออกมาจากกระเป๋าเสื้อและยื่นมันให้กับเธอ เขาว่าขึ้นก่อนที่เธอจะเปิดมัน “เดี๋ยวผมจะให้คนไปส่งคุณนะครับ”
หลังจากเขาจากไป หลินเฉี่ยนเปิดกระดาษอ่านและพบว่ามันคือคำร้องขอแต่งงาน
ด้วยคู่ชีวิตของเจ้าหน้าที่ในกองทัพต้องผ่านการตรวจสอบประวัติอย่างเข้มงวด จึงจำเป็นต้องยื่นคำร้อง ความจริงแล้วการตรวจสอบกินเวลายาวนานกว่า 1 เดือนกว่าจะได้รับการอนุมัติ
เธอเข้าใจว่าเหตุใดหลี่จิ่นถึงยื่นสิ่งนี้มาให้เธอ เขาต้องการให้เธอรู้ว่าเขาพร้อมแต่งงานทุกเมื่อที่เธอต้องการ
หลินเฉี่ยนเก็บกระดาษใส่กระเป๋า แม้ว่าตอนนี้ใจของเธอจะต้องการสร้างครอบครัวเป็นของตัวเองมากก็ตาม…
หลังกลับมาจากฐานทัพ หลินเฉี่ยนเดินทางไปที่กองถ่ายรายการ คืนค่ำยามสองทุ่ม เพื่อดูแลซย่าหันโม่ ตอนนี้ฝีมือของซย่าหันโม่พัฒนาขึ้นมากกว่าแต่ก่อนด้วยความช่วยเหลือจากโจวชิง ทั้งยังรับมือกับผู้คนภายนอกได้ในแบบของตัวเองอีกด้วย
เมื่อมาถึงกองถ่าย หลินเฉี่ยนยืนอยู่เงียบๆ ด้านข้างพลางมองซย่ากันโม่และโจวชิงโต้ตอบกันไปมา
คำพูดของหันเซียวทำให้หลินเฉี่ยนเจ็บปวดไม่น้อย ถึงเธอจะเป็นส่วนหนึ่งของวงการบันเทิง มันก็ไม่ได้ความว่าเธอไม่มีคุณค่าในตัวเองสักหน่อย
ดังนั้นในขณะที่เธอเฝ้ามองความสำเร็จของซย่าหันโม่ ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว
เธอต้องจริงจังกับการสร้างความมั่นใจว่าซย่าหันโม่จะไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลอีกให้มากขึ้น
…
อีกไม่นานก็จะถึงเวลาในการลงคะแนนสำหรับรางวัลเฟยเทียนประจำปี ในฐานะหนึ่งในรางวัลกระแสหลักในจีน โม่ถิงสั่งให้ฟังอวี้ส่งชื่อถังหนิงเข้าชิงแม้ว่าเธอจะไม่สนใจกับการเป็นนักแสดงอีกต่อไปแล้วก็ตาม ในครั้งนี้เธอเข้าชิงในนาม ผู้รอดชีพ
เหตุผลของโม่ถิงไม่ได้ซับซ้อน ต่อให้ถังหนิงจะไม่ได้ต้องการมัน แต่เขาก็จะไม่ปล่อยมันให้กับคนอื่น
ในวงการนี้มีศิลปินหน้าใหม่แจ้งเกิดในวงการอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ในเวลาเดียวกันก็มีศิลปินมากมายที่ไม่อาจรักษาตำแหน่งของตัวเองไว้ได้ ระหว่างที่ดาราหน้าใหม่ก้าวขึ้นมามีชื่อเสียง ศิลปินเก่าๆ กลับถูกลืมเลือนไป ทว่าโม่ถิงไม่อยากให้ถังหนิงกลายเป็นอดีต เขาต้องการให้เธอเป็นดาวค้างฟ้าตลอดไป
ดังนั้นต่อให้การถ่ายทำ มดราชินี จะเหนื่อยเพียงใด เขาก็เห็นถังหนิงสำคัญที่สุดเสมอ
อย่างไรก็ตามเคทผู้โลภมากไม่ยอมถอดใจขณะที่เธอพยายามเฝ้าติดตามดูว่าโม่ถิงชอบหรือไม่ชอบอะไร
ต่อให้เธอจะดูเหมือนยอมแพ้ไปแล้ว หากแต่จริงๆ กลับยังคลั่งไคล้ในตัวชายชาวตะวันออกคนนี้อยู่
ทั้งทักษะการแสดงชั้นยอดและรูปลักษณ์ที่ชวนหลงใหลต่อหน้ากล้องยิ่งทำให้เธอหลงรักเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
ผู้จัดการของเธอได้เตือนเธอแล้วว่าชายคนนี้รักครอบครัวยิ่งกว่าสิ่งไหน ทั้งยังบอกไม่ให้หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว หากเธอยังขืนทำเช่นนี้ต่อไปคงได้ลงเอยด้วยการเผาตัวเองทั้งเป็นแน่ หากแต่เคทยังยืนหยัดจนถึงความหวังสุดท้ายและขอให้ฉากบนเตียงมาถึงในเร็ววัน เธอไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีชายคนไหนต้านทานรูปร่างอันสมบูรณ์แบบของเธอได้
“ถ้าเป็นเรื่องรูปร่างล่ะก็ ถังหนิงเคยเป็นนางแบบและเกือบจะได้เดินบนเวทีวิคตอเรียซีเคร็ตด้วย ประธานโม่มีถังหนิงให้เชยชมอยู่แล้ว เธอจะไปยั่วยวนเขาได้ยังไงกัน”
ผู้จัดการของเคทรู้สึกมาตลอดว่าเธอเป็นคนที่ยากจะควบคุมได้ แต่อย่างน้อยแต่ก่อนเคทก็ยังพอยับยั้งชั่งใจบ้าง ทว่าในตอนนี้ดูเหมือนเธอจะจริงจังเรื่องโม่ถิง
“ระหว่างที่เราถ่ายทำฉากบนเตียง ฉันจะทำให้โม่ถิงได้สัมผัสถึงรูปร่างที่แท้จริงของฉัน มันจะต้องน่าตื่นเต้นแน่ๆ ”
ผู้จัดการของเธอคิดว่าเธอคงเสียสติไปแล้ว ด้วยเขามักมองในภาพรวมเสมอและไม่ต้องการให้เคทไป
ลองดีกับโม่ถิงและก้าวล้ำเส้นอีกฝ่าย
“เธอไม่มีโอกาสทำอย่างนั้นหรอก” ผู้จัดการว่าขึ้น
จากนั้นจึงติดต่อกับทางเอเจนซี่ของเคท เพราะรู้สึกว่าเธอทำบุ่มบ่ามเกินไปและไม่สนใจผลประโยชน์ของเอเจนซี่
บ่อยครั้งที่ผู้จัดการลงมือทำบางอย่างหากแต่ไม่ร้ายกาจพอที่จะปล่อยให้ศิลปินของตัวเองทำลายครอบครัวของคนอื่นได้
ดังนั้นจึงรู้สึกว่าถึงคราวจำเป็นที่ต้องขอให้ผู้กำกับเอาฉากบนเตียงออกไปเสียที
หากแต่เฉียวเซินกลับตอบกลับ “ไม่เป็นไรหรอกครับ เมื่อถึงเวลานั้น เราจะใช้ร่างกายเป็นสองเท่าเลยล่ะ”
อันที่จริงเฉียวเซินเองทนกับเคทมามากพอจนเขาหมดความอดทนเสียแล้ว