“พูดเป็นเล่นน่า! ฉันเป็นแม่ของโคโค่นะ อีกอย่างพ่อของเธอก็ไม่มีความสามารถที่จะเลี้ยงดูเธอได้ด้วย ทำไมฉันจะพาลูกสาวของฉันกลับไปไม่ได้ล่ะ
“ทนายความอย่างพวกคุณคิดว่าจะหลอกฉันได้ใช่ไหม ไม่ว่าพวกคุณจะโน้มน้าวเก่งแค่ไหนก็เปลี่ยนความจริงที่ฉันเป็นแม่ของโคโค่ไม่ได้หรอก…
“มันเป็นสิทธิ์ของแม่อย่างฉันที่จะพาตัวโคโค่กลับมา”
จากสิ่งที่เธอพล่ามออกมาเพียงฝ่ายเดียว เห็นกันชัดๆ ว่าคุณนายลีเป็นพวกไร้เหตุผลเพียงไหน ดังนั้นทางทนายความจึงยื่นจดหมายให้เธอฉบับหนึ่ง “ก่อนที่คุณพยายามจะเอาตัวโคโค่กลับไป ให้ทางเราชี้แจงประเด็นต่างๆ สักหน่อยนะครับ ก่อนอื่นคุณได้จากสามีและลูกสาวไปโดยไม่ได้กลับมาดูแลโคโค่เลยสักครั้งหลังจากที่คุณได้หย่ากับสามีของคุณ คุณทอดทิ้งลูกสาวของตัวเองด้วยซ้ำครับ! ดังนั้นก่อนที่คุณจะเรียกร้องอะไร ช่วยดูสิทธิทางกฎหมายที่คุณมีด้วยนะครับ…
“สอง ถ้าหากคุณยังยืนกรานที่จะต่อสู้เพื่อสิทธิในการเลี้ยงดูโคโค่ ทางศาลจะต้องตรวจสอบสถานะทางการเงินของคุณ คุณแน่ใจเหรอครับว่าจะต่อสู้ในชั้นศาลด้วยสภาพของตัวเองตอนนี้…
“คุณนายครับ เรารู้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของคุณคืออะไร แต่เราก็บอกคุณได้เลยว่าถ้าคุณขึ้นศาล ไม่เพียงแต่จะแพ้คดีแต่คุณอาจจะทำให้ตัวเองเป็นฝ่ายผิดแทนด้วยซ้ำ ตามกฎหมายแล้วการทอดทิ้งเด็กมีโทษจำคุกไม่ต่ำกว่าเจ็ดปี…
“ลองคิดให้ดีๆ นะครับ…”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดของทนายความได้กลายเป็นสิ่งที่ข่มขู่คุณนายลี ถึงอย่างไรประวัติของเธอที่ได้ทอดทิ้งลูก รวมถึงเรื่องสถานะทางการเงินของเธอ ก็เป็นชงักติดหลังที่ไม่อาจลบล้างไปได้
“ต่อให้ฉันเอาตัวโคโค่กลับมาไม่ได้ แต่ตอนนี้เธอหาเงินได้แล้วเธอก็ควรจะให้เงินแม่ของตัวเองบ้างไม่ใช่เหรอ”
ทนายความต่างรู้สึกว่าคุณนายลีช่างหน้าด้านหน้าทนเสียจริง
พวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าคุณพ่อลีจะเคยรักผู้หญิงคนนี้และสุดท้ายก็ถูกเธอทิ้งไป
“คุณนายครับ ผมคิดว่าคุณคงเข้าใจผิดไปแล้ว คุณอาจจะไม่ได้สู้เพื่อสิทธิในการเลี้ยงดูโคโค่ แต่เราก็ยังสามารถแจ้งความในข้อหาทอดทิ้งบุตรได้นะครับ ถ้าคุณยังอยากให้เรื่องนี้ยืดเยื้อต่อไป ทางเราก็ไม่ขัดครับ…
…ดังนั้นแล้ว คุณยังอยากได้เงินอยู่ไหมครับ”
ทนายความว่าเย้ยขณะที่มองสีหน้าของคุณนายลีที่เปลี่ยนเป็นซีดเซียว
“คนน่ารังเกียจอย่างคุณไม่สมควรจะเป็นแม่คนหรอกครับ คอยดูเถอะครับ ผมมั่นใจว่าลูกของสามีปัจจุบันของคุณจะต้องไล่คุณออกมาในวันใดวันหนึ่งแน่…
“สุดท้ายนะครับ ผมอยากจะบอกอะไรกับคุณไว้อย่าง มูลค่าในตัวโคโค่อาจเปลี่ยนไป แต่มันไม่ใช่เรื่องที่คนอย่างคนจะเข้ามายุ่มย่ามได้ ถ้าคุณโผล่หน้ามาให้โคโค่เห็นอีก ผมรับประกันได้เลยว่าคุณจะอยู่ในคุกไม่ต่ำกว่าเจ็ดปีแน่นอน หรือคุณอยากจะลองล่ะครับ”
สิ้นประโยค ทนายความกลับไปรวมตัวกับโคโค่และพ่อของเธอด้านนอก
“ไปกันเถอะครับ ปัญหาจบแล้วล่ะ”
“ผู้หญิงคนนั้นจะไม่มาหาหนูอีกใช่ไหมคะ” โคโค่เอ่ยถาม
“ไม่ต้องห่วงนะครับ เธอจะไม่มาอีกแล้วล่ะ” หัวหน้าทีมทนายความตอบพลางอุ้มโคโค่ไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะแยกตัวจากพ่อลูกเขาได้บอกเรื่องสุดท้ายเอาไว้ “คุณลีครับ คุณเคยได้ยินคำว่า ความอ่อนแอเป็นปีศาจที่ร้ายกาจที่สุด ไหมครับ ผมรู้ว่าคุณพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อปกป้องโคโค่แล้ว แต่สิ่งที่คุณทำมันยังไม่พอครับ ผมแนะนำให้คุณส่งโคโค่ให้ทางจู้ซิงมีเดียดูแล พวกเขาจะได้วางแผนอนาคตของโคให้ด้วยจะดีกว่านะครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น คุณพ่อลีเข้าใจว่าเขาเพียงแค่พูดไปตามตรงเท่านั้น จึงพยักหน้ารับและตอบกลับ “ขอบคุณครับ ฉันจะเอาเรื่องนี้ไปคิดอย่างจริงจังนะครับ”
“อย่าแค่คิดนะครับ คุณจำเป็นต้องทำด้วย”
พูดจบทนายความก็ก้าวขึ้นรถของเขาและหายลับตาไปอย่างรวดเร็ว
โคโค่มองท่าทางเจ็บปวดของพ่อตัวเองแล้วรู้สึกแย่ขึ้นมาเล็กน้อย “พ่อคะ พ่อทำดีที่สุดแล้วค่ะ…”
“แต่พ่อก็อ่อนแอจริงๆ นั่นแหละ” คุณพ่อลีถอนหายใจออกมา “โคโค่ เรามาปรับปรุงตัวไปด้วยกันนะ หนูเองก็เรียนรู้การแสดงไป ส่วนพ่อจะทำตัวให้แข็งแกร่งขึ้นเอง”
“ได้ค่ะพ่อ”
พ่อลูกได้ประกาศตัดขาดกับผู้หญิงน่าขยะแขยงคนนั้น ในขณะเดียวกันเป็นอย่างที่ทนายความได้คาดการณ์ไว้ ทันทีที่คุณนายลีกลับไปถึงบ้าน ลูกของสามีของเธอได้ไล่เธอออกมา ด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่ผู้หญิงคนนี้ยืมเงินก้อนโตจากพวกเขาไป พวกเขาเรียกร้องให้เธอหาเงินมาชดใช้หรือไม่ก็ยกบ้านให้พวกเขา หากแต่เธอจะไปมีปัญญาจ่ายคืนพวกเขาได้อย่างไรกัน
สุดท้ายจึงไม่มีทางเลือกนอกจากไล่เธอออกไปจากบ้าน…
เมื่อได้ยินเรื่องนี้โคโค่ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร แทบจะเหมือนกับแม่ของคนอื่นที่น่าสงสารเท่านั้น
หลังจากนั้นเธอเอาแต่จดจ่อกับการแสดง อย่างหมายมั่นกับตัวเองเอาไว้แล้วว่าเธอจะตอบแทนทุกคนที่ช่วยเหลือเธอไว้ เธอจึงเรียนรู้อย่างตั้งใจและทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ…
…
ในเวลาเดียวกันซย่าหันโม่ได้แอบนัดพบโจวชิงอยู่เป็นครั้งคราว หากแต่ทุกครั้งนั้นอยู่นอกเหนือสายตาของหลินเฉี่ยน ทุกครั้งที่ซย่าหันโม่อยู่ที่บ้าน โจวชิงมักคิดหาทางทำบางอย่างที่สร้างความประทับใจจนยากจะลืมให้กับเธอ
ในกลางดึกคืนหนึ่ง เป็นอีกครั้งที่โจวชิงนัดพบซย่าหันโม่ข้างนอกห้องพักของเธอ ทว่าหลินเฉี่ยนลืมให้บางอย่างกับซย่าหันโม่ เธอจึงวนรถกลับมาที่ห้องพักของอีกฝ่าย สุดท้ายเธอจึงเห็นว่าซย่าหันโม่กับโจวชิงไปเดินเล่นด้วยกันที่สวนสาธารณะแถบนั้น
ไม่น่าล่ะพักหลังๆ มานี้ซย่าหันโม่ถึงดูอารมณ์ดีนัก เดิมทีหลินเฉี่ยนคิดว่าคงเป็นเพราะการถ่ายทำเป็นไปได้อย่างราบรื่น แต่ดูท่าแล้วโจวชิงน่าจะแอบเข้ามาทำบางอย่างกับเธอ
หลินเฉี่ยนไม่รู้ว่าซย่าหันโม่ติดกับดักของเขามานานแค่ไหนแล้ว แต่เธอรู้ว่าหากบอกความจริงให้อีกฝ่ายรู้ตอนนี้ ซย่าหันโม่คงไม่ฟังสิ่งที่เธอบอก ความจริงแล้วพวกเธอคงจะตกหลุมพรางของเขาลึกจนต้องแตกคอกัน
แล้วเธอจะทำอะไรได้ล่ะ
หลินเฉี่ยนคิดหนักอยู่ครู่หนึ่งก่อนต่อสายหาถังหนิง “พี่หนิงคะ ฉันเห็นหันโม่กับโจวชิงแอบเจอกันตอนกลางคืนค่ะ มีทางไหนที่จะเลี่ยงไม่ให้เขาเจอกันได้ไหมคะ”
“เพราะหันโม่ระแวงเธอจนไม่บอกเรื่องสำคัญขนาดนี้ให้เธอรู้ อย่างนั้นเราจะใช้แผนการของโจวชิงเพื่อผลประโยชน์ของเราและปล่อยข่าวเรื่องที่ทั้งคู่แอบพบกันออกไป จากนั้นก็บอกเธอได้ว่าพวกเขาจะสร้างเรื่องอื้อฉาวไม่ได้ แล้วก็ห้ามไม่ให้เธอไปพบเขา” ถังหนิงสั่ง
“โอเคค่ะ ฉันข้าใจแล้ว”
หลินเฉี่ยนไม่ชอบใช้เล่ห์เหลี่ยมแบบนี้ หากแต่เธอกำลังทำเพื่อปกป้องเพื่อนและศิลปินของเธอ โจวชิงเป็นคนไม่น่าไว้วางใจและไม่คู่ควรกับมิตรภาพของซย่าหันโม่
ดังนั้นในวันต่อมารูปของคนทั้งสองจึงปรากฏขึ้นบนหน้าหนังสือพิมพ์โดยอ้างว่าพวกเขาพัฒนาความสัมพันธ์จากเพื่อนร่วมงานขึ้นไปอีกระดับ เมื่อหลินเฉี่ยนเห็นข่าว เธอโทรหาซย่าหันโม่ทันที “หันโม่ ต่อไปนี้เธอควรรักษาระยะห่างกับโจวชิงเอาไว้ ข่าวของพวกคุณสองคนลือไปทั่วแล้วนะคะ”
“ว่าแต่มันหลุดออกไปได้ยังไงล่ะคะ” ไม่เพียงแต่หันโม่จะไม่ฟังหลินเฉี่ยน กลับยังสงสัยในตัวเธออีก
เป็นเพราะว่าจริงๆ แล้วโจวชิงสังเกตเห็นรถของหลินเฉี่ยนเมื่อคืนก่อน ดังนั้นต้นทางของข่าวลือที่เริ่มหลุดออกมาหลังจากนั้นคงเดาได้ไม่ยากว่าหลินเฉี่ยนเป็นคงลงมือทำ ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้จัดการของซย่าหันโม่หักหลังเธอ
“หันโม่ เธอหมายความว่ายังไง”
“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว” ซย่าหันโม่บอกปัดก่อนวางสาย ทว่าโจวชิงนั้นอยู่ข้างเธอตลอดการสนทนา
“ฉันไม่รู้ว่าหลินเฉี่ยนเป็นอะไรไปเลยค่ะ”
“ไม่มีอะไรหรอก เธอแค่อยากแยกเราออกจากกันเท่านั้นแหละ” เขาหัวเราะขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าหลินเฉี่ยนพ่ายแพ้ไปในครั้งนี้ เพราะตอนนี้โจวชิงมั่นใจแล้วว่าหลินเฉี่ยนได้ยินสิ่งที่เขาพูดที่ลานจอดรถ