ดูเผินๆ แล้ว ซย่าหันโม่ติดต่อใกล้ชิดกับโจวชิงน้อยลง ด้วยอย่างไรเสียพวกเขาก็ต้องเลี่ยงคำครหา หากแต่จริงๆ แล้วพวกเขากลับแอบพบกันบ่อยขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
ในใจของซย่าหันโม่โจวชิงเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ สุภาพและแทบจะไม่เคยไม่พอใจคนอื่น
ดังนั้นเมื่อนึกถึงเรื่องที่หลินเฉี่ยนพยายามแยกพวกเขาออกจากกัน เธอยิ่งหวาดระแวงหลินเฉี่ยนมากขึ้นแทน
หลินเฉี่ยนสัมผัสได้ชัดเจนว่าซย่าหันโม่เริ่มเสแสร้งต่อหน้าเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
บางครั้งความสัมพันธ์ระหว่างหญิงสาวก็เป็นเรื่องที่เปราะบางเช่นนั้น โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรัก
หลินเฉี่ยนเป็นกังวล หากแต่ไม่มีใครสามารถหาหลักฐานเกี่ยวกับความลับของโจวชิงได้ ต่อให้ไห่รุ่ยเป็นคนลงมือเอง พวกเขาก็ไม่พบความผิดของเขาแต่อย่างใด แล้วเธอจะทำอะไรได้
ในขณะเดียวกันซย่าหันโม่ได้ถลำลึกลงไปมากขึ้น…
ทีแรกหญิงสาวทั้งสองคนยังมีเรื่องระหว่างกันและกันที่โจวชิงยังไม่เคยรู้ หากแต่ในตอนนี้ที่หลินเฉี่ยนต้องหลีกเลี่ยงโจวชิง ความเห็นของเธอกับซย่าหันโม่ก็ไม่ลงรอยกันมากขึ้น “เฉี่ยนเฉี่ยน ฉันรู้สึกว่าพักนี้คุณดูแปลกๆ ไปนะ เกิดอะไรขึ้นกับคุณ บอกฉันมานะ”
หลินเฉี่ยนส่ายหน้า คำพูดของเธอติดอยู่ในลำคอหากแต่ไม่มีสิ่งใดหลุดออกมา
“ถ้าคุณเหนื่อยอย่างนั้นก็กลับบ้านไปพักเถอะค่ะ”
หลินเฉี่ยนรู้สึกอยู่ไม่สุข เธอจึงพยายามเลี่ยงไม่ให้ไปทะเลาะกับซย่าหันโม่ก่อนจะเดินออกมาที่ลานจอดรถเพื่อเอาเสื้อคลุมให้อีกฝ่าย ในตอนนี้เองที่โจวชิงปรากฏตัวขึ้นจากเงามืดและเอ่ยขึ้นกับเธอ “หลินเฉี่ยน ผมไม่รู้ว่าตัวเองไปมีเรื่องกับคุณได้ยังไงนะ ทำไมคุณต้องเปิดเผยเรื่องของผมกับซย่าหันโม่ให้คนอื่นรู้ด้วย…
“หันโม่รักคุณมากจริงๆ นะ ผมไม่อยากให้คุณทำร้ายเธอ”
โจวชิงก็คือโจวชิงอยู่วันยังค่ำ เขาทำตัวสมบูรณ์แบบไม่มีที่ติ หลินเฉี่ยนคิดว่าต่อให้ถังหนิงมาอยู่ที่นี่ เธอก็คงจะทำอะไรเขาไม่ได้เช่นกัน
“พวกคุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆ ” หลินเฉี่ยนไม่ได้ออกอาการมีพิรุธเผื่อว่าซย่าหันโม่จะอยู่แถวๆ นี้
“ผมแค่อยากให้หันโม่มีความสุข แล้วก็หวังว่าคุณจะมีความสุขเหมือนกัน”
พูดจบโจวชิงก็เดินจากไป ทิ้งหลินเฉี่ยนให้ยืนเข่าอ่อนอยู่เบื้องหลัง
หากเธอไม่ได้ยินสิ่งที่โจวชิงพูดโทรศัพท์ในคืนนั้น เธออาจจะไม่รู้สึกกับชายคนนี้ขนาดนี้เช่นกัน
เธอเพียงแค่รู้สึกว่ายังมีหลายเรื่องที่เธอยังไม่อาจทำให้กระจ่างได้ ถึงอย่างไรพวกเขาเองก็ไม่มีหลักฐาน
หลายวันถัดมาท่าทางของซย่าหันโม่ที่มีต่อหลินเฉี่ยนเปลี่ยนเป็นเฉยชา หลินเฉี่ยนไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด เพราะผู้ชายคนนั้น ความสัมพันธ์ของพวกเธอจึงต้องมาลงเอยแบบนี้
หลินเฉี่ยนเกลียดความทรมานแบบนี้ที่สุด ทว่าเธอรู้ว่าซย่าหันโม่คงจะไม่เชื่อสิ่งที่เธอพูด
“พี่หนิง ฉันทนไม่ไหวอีกแล้วค่ะ หันโม่กลายเป็นคนอื่นคนไกลจนเธอไม่พอใจไม่ว่าฉันจะพูดอะไรเลยค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้นถังหนิงรู้สึกว่าเธอกำลังจะสูญเสียศิลปินของตัวเองไป จะว่าไปแล้วหากเธอกล่าวอะไรออกไป ซย่าหันโม่คงได้แต่คิดว่าทั้งจู้ซิงมีเดียกำลังตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเธอ คงไม่มีโอกาสที่จะถอยหลังกลับได้แล้ว
“เฉี่ยนเฉี่ยน เราไปบังคับความคิดของคนอื่นไม่ได้หรอกนะ เราได้ทำทุกอย่างที่เราทำได้แล้ว ยืดอกรับผิดชอบแล้วบอกความจริงให้เธอรู้ ถ้าเธอไม่ยอมกลับมาเอง เราจะทำอะไรได้ล่ะ เราไม่มีหลักฐานอะไรเลย”
โจวชิงเอาแต่สร้างความกดดันด้วยต้องการให้ซย่าหันโม่กำจัดหลินเฉี่ยน
ด้วยเวลาที่ผ่านพ้นไปความสัมพันธ์ของพวกเธอต้องมาลงเอยด้วยความขมขื่นไปเสียแล้ว
“ไม่มีทางออกเลยจริงๆ เหรอคะ หันโม่กำลังเป็นอันตรายนะคะ…”
“ตอนนี้หันโม่จะไม่เป็นอะไรหรอก คนที่ตกอยู่ในอันตรายก็คือเธอนั่นแหละ” ถังหนิงเอ่ยเตือน “จากนี้ไป ต่อให้เธออยู่กับหันโม่ เธอก็ต้องมั่นใจว่าเธอปลอดภัยอยู่นะ”
อย่างไรเสียความรักก็สามารถทำให้คนตาบอดและพลาดพลั้งได้อย่างง่ายดาย
“โอเคค่ะ”
หลังจากโทรหาถังหนิง หลินเฉี่ยนโทรไปบ่นให้หลี่จิ่นฟัง เธอคิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องของซย่าหันโม่ดี สิ่งที่เธอทำได้คือการมองซย่าหันโม่กระโดดเข้ากองไฟ
หลี่จิ่นกล่าวปลอบใจเธอและโน้มน้าวให้เธอย้ายเข้ามาอยู่กับพ่อแม่ของเขา ถึงเธอจะยังมีเรื่องกังวลอยู่มากแต่ไม่นานเธอก็ตกลงยอมรับข้อเสนอของหลี่จิ่น
ด้วยรายการ คืนค่ำยามสองทุ่ม เป็นรายการในช่วงกลางคืน กิจกรรมทั้งหมดจึงต้องถ่ายทำในตอนกลางคืน ครั้งนี้สถานที่ถ่ายทำคือสวนสนุกที่ถูกทิ้งร้าง ดังนั้นทีมงานจึงเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
ตอนนี้หลินเฉี่ยนมีปัญหากับซย่าหันโม่อยู่ เธอจึงทำได้เพียงมองอีกฝ่ายโต้ตอบกับแขกรับเชิญจากที่ไกลๆ ถึงอย่างไรซย่าหันโม่ก็ไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากเธออยู่แล้ว
ไม่นานด้วยภารกิจในรายการ ซย่าหันโม่หายไปจากสายตาของหลินเฉี่ยน ทีมงานบางคนตามเธอไปในขณะที่หลินเฉี่ยนยังคงอยู่ในห้องรับรองกับคนอีกไม่กี่คน ในไม่ช้าทีมงานคนหนึ่งก็กลับมาด้วยท่าทีตื่นตระหนกก่อนบอกกับหลินเฉี่ยน “หันโม่หายตัวไปค่ะ”
หลินเฉี่ยนอึ้งไปเล็กน้อยพลางลุกขึ้นจากที่นั่งทันที “เกิดอะไรขึ้นคะ”
“เธอวิ่งหนีออกไประหว่างทำภารกิจค่ะแล้วเราก็ตามหาเธอไม่เจอ มีกรงหมาที่ถูกล่ามโซ่เอาไว้อยู่แถวๆ ประตูด้วยค่ะ”
เมื่อหลินเฉี่ยนได้ยินดังนั้น เธอไม่มีทางเลือกนอกจากวิ่งตามหาซย่าหันโม่ไปทั่ว ทำอะไรไม่ถูกจนสุดท้ายต้องโทรหาหลี่จิ่น
ทว่าระหว่างที่วิ่งเต้นไปทั่วนั้นเธอไม่เจอใครสักคน ในตอนนี้เองที่เธอหันไปรอบๆ หากแต่ไม่ทันที่จะได้สำรวจรอบตัวดีนัก อยู่ๆ ฝูงสุนัขสีดำก็โผล่เข้ามากระโจนเข้าหาเธอ
หลินเฉี่ยนไม่มีทางให้วิ่งหนีไปไหนขณะที่หกล้มบนพื้น ฝูงสุนัขต่างกรูกันเข้ามาหาเธอและเริ่มขย้ำเข้าที่เนื้อของเธอ หลินเฉี่ยนคิดว่าตัวเองกำลังจะตายแล้ว โชคดีที่คนที่ผ่านมาแถวนั้นช่วยเธอไว้ทัน
“คุณครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
หลินเฉี่ยนพยายามตะครุบลมหายใจของตัวเองเอาไว้ รู้สึกได้เพียงความเจ็บปวดไปทั่วร่างกายราวกับถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ พร้อมกับน้ำตาที่เริ่มไหลอาบแก้มของตัวเอง
“ทำไมคุณมาเดินอยู่แถมกรงหมาตามลำพังล่ะครับ”
หลังได้ยินคำถามของชายสูงวัย เธอพลันรู้ตัวขึ้นมาว่าเกิดอะไรขึ้น…
ซย่าหันโม่ไม่ได้หายไป เธอแค่ติดกับดักของใครบางคนเข้า
“ขอบคุณนะคะคุณลุง ช่วยพาฉันกลับไปที่ที่ฉันมาได้ไหมคะ”
“ได้สิ”
หลินเฉี่ยนทำเช่นนี้เพื่อให้ชายสูงวัยคนนี้เป็นพยานให้กับเธอ
ไม่นานเขาก็ช่วยพาเธอมาส่งที่สถานที่ถ่ายทำ อย่างไรก็ตามทีมงานทั้งหมดได้ย้ายสถานที่ไปโดยไม่ได้แจ้งเธอสักคำ
“ฮ่าๆ” หลินเฉี่ยนหัวเราะออกมากับตัวเอง
เธอกำโทรศัพท์ไว้ในมืออย่างสิ้นหวัง ก่อนต่อสายหาถังหนิง จากนั้นจึงโทรหาซย่าหันโม่ ในครั้งนี้เธอไม่ลังเลที่จะบอกความจริงกับเธอ หากแต่แน่นอนว่าซย่าหันโม่กำลังถ่ายทำรายการอย่างมีความสุขโดยลืมเธอไปเสียสนิท
“คุณครับ อาการบาดเจ็บคุณไม่ใช่เล่นๆ เลยนะครับ โชคดีที่หมาของเราฉีดยาแล้ว แต่ยังไงคุณก็ต้องไปรักษาแล้วคอยดูแผลของคุณนะครับ”
เขามาส่งหลินเฉี่ยนที่ทางออกสวนสนุกก่อนที่หลี่จิ่นจะรีบมารับเธอไป
ทันทีที่เขาเห็นท่าทีท้อแท้ของหลินเฉี่ยน เขากล่าวขอบคุณชายสูงวัยและพลันช้อนอุ้มเธอขึ้นรถของตัวเอง
เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะพาหลินเฉี่ยนตรงไปที่โรงพยาบาล ทว่าเธอกลับบอกกับเขา “ไปที่พิพิธภัณฑ์ค่ะ…ตอนนี้ซย่าหันโม่อยู่ที่นั่น”
“เฉี่ยนเฉี่ยน…”
“ฉันต้องไปค่ะ!” น้ำเสียงของเธอสั่นเทาเล็กน้อย
ในขณะเดียวกันที่ไฮแอทรีเจนซี ถังหนิงคว้าเสื้อคลุมมาสวมก่อนเอ่ยกับโม่ถิง “ถิงคะ ฉันมีเรื่องต้องไปจัดการค่ะ ขับรถไปส่งฉันหน่อยได้ไหมคะ”