“คุณถามหาหลักฐานใช่ไหม” เสียงอันคุ้นเคยดังมาจากทางเข้า สร้างความประหลาดใจให้กับบรรดาสื่อ
“นั่นถังหนิง!”
“ถังหนิงจริงด้วยๆ ถังหนิงอยู่ที่นี่!”
“ว่าแต่ทำไมถังหนิงถึงนั่งรถเข็นล่ะ”
ไม่มีใครคาดคิดว่าถังหนิงจะเป็นส่วนหนึ่งในโชว์ครั้งนี้ และยิ่งคาดไม่ถึงเข้าไปอีกที่เธอปรากฏตัวพร้อมรถเข็น
เมื่อเห็นถังหนิงปรากฏตัว ฮว่าเหวินเฟิ่งก็ขมวดคิ้วมุ่นโดยไม่รู้ตัว เธอรู้ดีว่าการปรากฏตัวของอีกฝ่ายหมายถึงอะไร เมื่อใดก็ตามที่ถังหนิงปรากฏตัว ถังหนิงไม่เคยแพ้ พูดง่ายๆ คือไป๋ลี่หวาจะไม่แพ้ในศึกครั้งนี้
จะต้องไม่เป็นอย่างนั้น
ฮว่าเหวินเฟิ่งแอบกำหมัดแน่น
เป็นไปไม่ได้ที่ไป๋ลี่หวาจะแสดงหลักฐานใดๆ แต่ฮว่าเหวินเฟิ่งรู้ดีว่าเธอแค่ต้องกัดฟันและยืนหยัดต่อไปอีกสักพักแล้วทุกอย่างสำหรับเธอก็จะคลี่คลาย
ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจโจมตีก่อนโดยการชี้ไปที่ถังหนิง “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเธอ นังปีศาจสารเลว เธอคิดว่าการวางแผนเรื่องชั่วๆ ทั้งหมดนี่ เธอจะชนะฉันได้งั้นเหรอ”
ถังหนิงไม่เหมือนไป๋ลี่หวา เธอยังคงสงบนิ่งเช่นทุกครั้ง ที่จริงเธอมองดูฮว่าเหวินเฟิ่งราวกับเธอกำลังสนุกอยู่กับการแสดงบางอย่างด้วยซ้ำ
“คุณฮว่า คุณประเมินตัวเองสูงไปนะคะ อย่าแสดงอะไรเพิ่มมากไปกว่าเดิมเลย” ถังหนิงกล่าวอย่างใจเย็น “ฉันไม่มีเวลาว่างมาใส่ร้ายคุณหรอก…”
“งั้นทำไมถึงหาคนมาพยายามสวมรอยเป็นฉันล่ะ”
“ฮว่าเหวินเฟิ่ง อย่างที่ฉันเคยบอกก่อนหน้านี้ โลกนี้เวรกรรมมีจริง ทั้งเสมอภาคและเท่าเทียม หากคนทำอะไรไม่ดีเอาไว้ จะต้องมีร่องรอยเกิดขึ้นแน่นอน” พูดจบ ถังหนิงก็มองไปที่หลงเจี่ยซึ่งอยู่ด้านหลัง ก่อนส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายแสดงหลักฐานที่มี “คุณถามหาหลักฐานใช่ไหม
“ฉันจะเอาหลักฐานให้คุณเดี๋ยวนี้แหละ”
ฮว่าเหวินเฟิ่งมองดูวัตถุในมือถังหนิงและยิ้มอย่างหยิ่งยโส “หลักฐานอะไรกัน ฉันก็มีของฉันเหมือนกัน!”
“นี่เป็นผลตรวจดีเอ็นเอที่จัดทำโดยองค์การที่น่าเชื่อถือที่สุด คุณคงคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะระบุแม่ที่แท้จริงระหว่างฝาแฝดสินะ แต่คุณคิดผิด มันแค่ต้องเสียเวลามากหน่อย… หรือบางทีอาจจะเงิน…
“หลังใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็มและหลายชั่วโมงที่เจ้าหน้าที่ทุ่มเทในศูนย์วิจัย ในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบความแตกต่างอันน้อยนิดในดีเอ็นเอของคุณ พวกเขายังพบลำดับดีเอ็นเอที่เหมือนกันอีกมากกว่ายี่สิบจุดในดีเอ็นของไป๋ลี่หวากับดีเอ็นเอของโม่ถิงซึ่งไม่ปรากฏในของคุณ
“คุณบอกว่าฉันหลับหูหลับตาให้กับความจริง แล้วคุณล่ะ” ถังหนิงถามพร้อมหันไปมองหลงเจี่ย “ไห่รุ่ยจะปล่อยตารางเปรียบเทียบให้ทุกท่านในอีกสักครู่ หากใครมีข้อสงสัยอะไร สามารถไปติดต่อที่ศูนย์ทดสอบดีเอ็นเอในปักกิ่งได้เลย”
“นี่เป็นผลที่ได้รับการรับรองระดับประเทศ มันจึงถูกต้องอย่างแน่นอน
“ฉันเรียนหมอมาก่อนและฉันรู้วิธีอ่านตารางพวกนี้ ดูจากลำดับดีเอ็นเอพวกนี้ เราจะเห็นได้ว่าประธานโม่กับคุณไป๋มีคู่ดีเอ็นเอที่เหมือนกันมากที่ฮว่าเหวินเฟิ่งไม่มี เมื่อเป็นแบบนี้หลายครั้ง ก็ชัดเจนว่าใครเป็นแม่ผู้ให้กำเนิด”
“นี่เป็นหลักฐานสำคัญ!”
หลักฐานสำคัญ!
การได้ยินคำคำนี้ทำให้ท่าทีของฮว่าเหวินเฟิ่งเปลี่ยนไป เธอรีบคว้าผลตรวจจากมือของถังหนิง หลังได้เห็นการเปรียบเทียบอย่างชัดเจนในดีเอ็นเอ ฮว่าเหวินเฟิ่งก็จ้องมองถังหนิง แม้เธอจะเชื่อว่าผลตรวจนี้เป็นของจริงและริมฝีปากของเธอเริ่มสั่นด้วยความกลัว แต่เธอก็ยังตะโกนเสียงด้วยใส่ถังหนิง “นี่เป็นไปไม่ได้! ถังหนิง อย่ากล้าเอาหลักฐานปลอมๆ นี่มาปั่นหัวสื่อนะ”
“ฉันคิดว่าสื่อดูออกว่าฉันกำลังปั่นหัวพวกเขาอยู่หรือเปล่า” ถังหนิงเบนความสนใจได้อย่างช่ำชอง
“ถูกต้อง คุณคิดว่าพวกเราโง่หรือไง นี่มันสถาบันที่ได้รับความน่าเชื่อถือที่สุดนะ” บรรดานักข่าวเริ่มพูดขัดจังหวะ
“ไม่อยากจะเชื่อ ตอนแรกฉันคิดว่าเรื่องแบบนี้เป็นไปไม่ได้ ฉันไม่คิดว่าเรื่องจะกลับตาลปัตรแบบนี้ กลับกลายเป็นว่าไป๋ลี่หวาต่างหากที่เป็นคุณนายโม่ตัวจริง”
“ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถังหนิง คุณช่วยอธิบายเรื่องนี้ให้เราฟังโดยละเอียดได้ไหม”
ฮว่าเหวินเฟิ่งสังเกตว่าสื่อเริ่มคล้อยตามอีกฝ่าย เธอจึงรีบห้ามไม่ให้ถังหนิงพูด “ถังหนิง ฉันไปหาเรื่องเธอตอนไหน ทำไมเธอถึงได้ใส่ร้ายฉันแบบนี้”
ถังหนิงไม่ได้สนใจเสียงฮว่าเหวินเฟิ่ง เธอชำเลืองตามองไปที่ไป๋ลี่หวาอย่างมาดมั่นแล้วกล่าวกับสื่อ “ฉันว่าเรื่องนี้ ฉันไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งนั้น มีแค่คุณไป๋ลี่หวาเท่านั้นที่จะสามารถหให้คำตอบทุกคนได้”
“พวกแกโกหก! พวกแกทุกคนโกหก!” ฮว่าเหวินเฟิ่งพยายามที่จะหยุดไป๋ลี่หวาไม่ให้เดินขึ้นไปบนเวที แต่เฉินซิงเยียนกลับผลักเธอออกไปได้อย่างง่ายดาย
หลังจากนั้น ไป๋ลี่หวาก็เดินขึ้นไปบนเวทีและมองบรรดานักข่าวจำนวนมากที่อยู่ตรงหน้าด้วยดวงตาเจนโลก
“บ่ายวันหนึ่งเมื่อสิบเก้าปีก่อน ฉันกำลังทานอาหารกลางวันอยู่ในห้องวิจัยตอนที่การระเบิดเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน และตัวฉันกระเด็นออกไปจากห้อง เมื่อฉันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ฉันก็อยู่ระหว่างถูกส่งไปโรงพยาบาลแล้ว คนที่ช่วยฉันไว้บอกฉันว่าตัวฉันเต็มไปด้วยเลือดตอนที่เขาพบฉันนอนอยู่กลางป่าอันห่างไกลในอเมริกา
“ฉันอยู่ในโรงพยาบาลนานแปดเดือนและได้รับการรักษาต่อเนื่องอีกแปดเดือน แต่เมื่อฉันได้ออกจากโรงพยาบาลในที่สุด ศูนย์วิจัยก็ได้ถูกย้ายไปยังสถานที่อื่นแล้วและตัวตนของฉันถูกสวมรอยโดยใครบางคนที่มีหน้าตาเหมือนกับฉัน
“ฉันไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร และไม่รู้วัตถุประสงค์ของเธอด้วย ผู้หญิงคนนั้นกับสามีของฉันกำลังมีความรัก เธอใช้ชื่อของฉันและครอบครองทุกอย่างที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของฉัน แต่เนื่องจากใบหน้าฉันผิดรูปไป ทำให้ฉันไม่อาจปรากฏตัวต่อหน้าใครและไม่อาจเผยตัวตนของตัวเองได้
“หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็เริ่มความสัมพันธ์กับชายจิตใจดีที่ช่วยฉันเอาไว้และให้กำเนิดลูกสาวที่น่ารัก เดิมทีฉันคิดว่านี่เป็นลิขิตของสวรรค์ แต่… ฉันไม่เคยนึกว่าฮว่าเหวินเฟิ่งจะใช้ตัวตนของฉันคุกคามลูกชายและลูกสะใภ้ของฉัน
“ฉันไม่อาจยอมรับเรื่องนี้ได้ เธอมีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนั้น
“เธอเป็นจอมลวงโลก เธอมีสิทธิ์อะไร
“นี่คือเหตุผลที่ฉันกำลังยืนอยู่ที่นี่ในวันนี้ แม้ใบหน้าของฉันจะถูกทำลาย แต่ฉันก็ยังต้องการทวงตัวตนและทุกสิ่งที่เป็นของฉันคืนมา”
“ฉันเป็นลูกสาวตระกูลเป่ยและเป็นแม่ของโม่ถิง เธอล่ะเป็นใคร เธอมันก็แค่คนลวงโลก!”
“แกโกหก!” ฮว่าเหวินเฟิ่งโต้แย้งในทันที “แกต่างหากที่ลวงโลก แกอยากจะขโมยสามีและทุกอย่างที่เป็นของฉัน”
“ฉันไม่สนใจสามีของเธอหรอก ฉันแค่ต้องการให้ลูกชายและลูกสะใภ้ของฉันปลอดภัย” ไป๋ลี่หวากล่าวอย่างเกรี้ยวกราด “ในเมื่อฉันยืนอยู่ตรงนี้ในวันนี้ ฉันรู้ว่าฉันไม่อาจอ้างอะไรโดยไม่มีหลักฐานได้ ดังนั้นเมื่อครู่ทุกคนไม่สงสัยเหรอว่าทำไมถังหนิงถึงต้องปรากฏตัวบนรถเข็น
“ฉันจะบอกคำตอบให้ เพราะมีบางคนวางยาถังหนิงในซุปไก่ด้วยควินิดีน ทำให้เธอและลูกเกือบเสียชีวิต!”
“ไป๋ลี่หวา อย่าลืมนะว่าเธอเป็นคนดูแลอาหารของถังหนิง” ฮว่าเหวินเฟิ่งยิ้มเยาะ “เธอกำลังพยายามจะใส่ร้ายฉันงั้นเหรอ ไม่มีทาง!”
ถังหนิงรู้ว่าฮว่าเหวินเฟิ่งจะปฏิเสธความเกี่ยวข้องทุกอย่าง เธอจึงทักไป๋ลี่หวาทันที “คุณแม่คะ ฉันจะอธิบายเรื่องของฉันกับสื่อเอง”
“งั้นที่ถังหนิงนั่งรถเข็น ก็เพราะสิ่งที่ชั่วร้ายมากน่ะสิ”
“ควินิดีนคืออะไร”
“ยาอะไรกันที่สามารถฆ่าเด็กที่ยังไม่เกิดได้แถมยังทำให้แท้งได้ด้วย”
บรรดานักข่าวที่อยู่ด้านล่างเวทีพากันออกความเห็น