ณ พิธีมอบรางวัลเฟยเทียน
ถังหนิงจัดการให้ลัวเซิงและหลินเฉี่ยนเดินพรมแดงร่วมกัน ดูผ่านๆ หลินเฉี่ยนได้มาปรากฏตัวเพื่อคอยดูแลลัวเซิงในฐานะตัวแทนของจู้ซิงมีเดีย หากแต่ความเป็นจริงแล้วหลินเฉี่ยนมาร่วมงานเพื่อรับรางวัลแทนถังหนิงต่างหาก
บริเวณพรมแดงเต็มไปด้วยคนดังมากมาย ในขณะที่หลินเฉี่ยนมองลัวเซิงพูดคุยกับคนอื่นๆ ในวงการ เธอรู้สึกดีใจที่ได้เห็นเขาโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น
ภายในจู้ซิงมีเดีย ลัวเซิงเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด ทว่าเขากลับได้สัมผัสกับความปลิ้นปล้อนตามธรรมชาติของมนุษย์เสียแล้ว กว่าเขาจะมาถึงทุกวันนี้นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เขาจึงยิ่งสำนึกในทุกอย่างที่เขาได้ครอบครอง
“ประธานหวงที่ผมเพิ่งไปทักทายเคยพยายามเสนอเงินจำนวนมหาศาลเพื่อให้ผมย้ายสังกัดน่ะครับ” ลัวเซิงเอ่ยกับหลินเฉี่ยนขณะที่พวกเขาเดินไปตามพรมแดง
หลินเฉี่ยนอึ้งไปเล็กน้อยพลางหันไปมองนักแสดงหนุ่มชื่อดังข้างตัวก่อนส่งยิ้มให้
“แต่ผมปฏิเสธไปน่ะครับ เพราะผมไม่อยากเป็นซย่าหันโม่คนที่สอง”
ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ลัวเซิงจะจดจำความหวังที่ถังหนิงมอบให้เขาตลอดไป ต่อให้ผู้หญิงที่เขารักจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับถังหนิง เขาจะไม่มีทางทรยศถังหนิงและจู้ซิงมีเดียเด็ดขาด
“เราเป็นครอบครัวเดียวกันครับ”
หลินเฉี่ยนพยักหน้ารับก่อนระบายยิ้ม “ไม่ต้องห่วงนะ จู้ซิงมีเดียอาจไม่ได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดให้นาย แต่เราจะทำทุกอย่างที่เราทำได้เพื่อนาย ในยามที่นายอยู่ในจุดที่ตกต่ำที่สุด เราจะช่วยหาทางออกให้นาย เมื่อนายอยู่ในจุดสูงสุดของนาย เราจะคอยสนับสนุนนายด้วยใจจริง”
บนทางเดินพรมแดงอันทรงเกียรติ ลัวเซิงมองหลินเฉี่ยนพร้อมรอยยิ้มที่เปล่งประกายสดใสที่สุดของเขา
การเข้าร่วมสังกัดจู้ซิงมีเดียนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดของเขา
…
ไม่นานทั้งสองก็ก้าวเข้ามาในสถานที่จัดงาน ทว่าก่อนที่พิธีจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ เฝิงจิ้งสังเกตเห็นหลินเฉี่ยนกำลังนั่งอยู่แถวหน้า เธอจึงจงใจสลับที่นั่งไปนั่งข้างๆ อีกฝ่าย
“ไม่คิดว่าจะได้เจอเธอที่นี่เลยนะ จากที่ฉันรู้มาปกติผู้จัดการกับผู้ช่วยไม่ได้ถูกรับเชิญมาด้วยนี่นา”
หลินเฉี่ยนไม่ได้สนใจจะตอบกลับแต่อย่างใด
“ไหนๆ เธอก็มีสิทธิ์เข้าร่วมงานใหญ่อย่างนี้แล้ว ทำไมเธอไม่ติดสอยห้อยตามนังแก่นั่นและพาตัวเองแจ้งเกิดในวงการซะเลยล่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเฉี่ยนปรายตามองเฝิงจิ้งอย่างเฉยชา “ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ฉันไม่เหมือนคุณ ฉันจะไม่แย่งของของคนอื่นมาหรอกนะคะ”
ท่าทีของเฝิงจิ้งพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาในขณะที่หันไปสนใจลัวเซิง “เธอเองก็ไม่ต่างกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอต้องการมากกว่าที่ตัวเองมีในตอนนี้”
ด้วยเข้าใจสิ่งที่เฝิงจิ้งหมายถึง หลินเฉี่ยนหันไปมองอีกฝ่ายด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ “ฉันไม่ได้น่าขยะแขยงเหมือนคุณหรอกค่ะ กลับไปที่นั่งเดิมของคุณซะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณเป็นครั้งที่สองอีก”
หลังได้ฟังคำตอบของหลินเฉี่ยน เฝิงจิ้งเอื้อมมือไปช่วยหลินเฉี่ยนทัดผมข้างหูก่อนเอ่ย “เราเป็นแม่ลูกกันนะ ไม่จำเป็นต้องทำตัวเฉยชากับฉันทุกครั้งอย่างนี้ก็ได้”
“คุณยังไม่เห็นความเฉยชาของฉันเลยด้วยซ้ำค่ะ”
เฝิงจิ้งกลับไปนั่งที่เดิมและจ้องมองด้านหลังของหลินเฉี่ยนด้วยความเกลียดชัง
เธอเป็นแค่ผู้จัดการ เอาอะไรมาหยิ่งยโสได้ขนาดนี้กัน
“ผู้หญิงคนนั้นคือคนที่เป็นข่าวเมื่อเร็วๆ นี้เหรอครับ” ลัวเซิงถามหลังจากที่เฝิงจิ้งจากไป
“ใช่” หลินเฉี่ยนพยักหน้ารับ “แค่ทำเหมือนเธอไม่มีตัวตนก็พอ ไม่มีประโยชน์ที่จะเสียเวลาไปกับเธอหรอก”
ลัวเซิงหันไปเหลือบมองเฝิงจิ้งก่อนพยักหน้า “ผมดูออกว่าเธอเป็นคนไม่ดีตั้งแต่แวบแรกที่เห็นแล้วล่ะครับ”
เมื่อได้ยินความเห็นของเขา หลินเฉี่ยนไม่ได้ตอบอะไรกลับไป อย่างไรเสียการแสดงเด็ดๆ ก็กำลังเริ่มเปิดม่านขึ้น
พิธีการเริ่มต้นในเวลาสองทุ่มเหมือนอย่างปีก่อน พิธีกรยังคงเป็นคนเดิม ที่แตกต่างออกไปคือถังหนิงไม่ได้อยู่ที่นี่ในคืนนี้
ตามธรรมเนียมรางวัลมักเริ่มต้นด้วยสาขานักแสดงหน้าใหม่ ดังนั้นลัวเซิงจึงได้กอดรางวัลนักแสดงหน้าใหม่ยอดเยี่ยมและนักแสดงดาวรุ่งหน้าใหม่กลับบ้านไป เป็นครั้งแรกที่ศิลปินของจู้ซิงมีเดียได้รับรางวัลกระแสหลักด้วยศิลปินเพียงหนึ่งเดียวของเขาและส่งผลดีกับชื่อเสียงของเอเจนซี่
ในขณะที่แสงไฟสาดส่องไปยังลัวเซิง หลินเฉี่ยนอดไม่ได้ที่จะยินดีกับเขา เธอรู้ว่าเขาทุ่มเทเพียงไหนกว่าจะมาถึงจุดนี้
ลัวเซิงก้าวขึ้นบนเวทีและรับถ้วยรางวัลจากผู้มอบรางวัล จากนั้นจึงไปยืนต่อหน้าไม่โครโฟนอย่างตื้นตันใจ
ก่อนอื่นเขาชูถ้วยรางวัลและกล่าวขอบคุณกับทุกคน จากนั้นจึงเริ่มคำกล่าวรับรางวัลของเขา “ตลอดหนึ่งถึงสองปีมานี้ผมได้รับประสบการณ์มากมาย และการได้มายืนที่นี่ทำให้ผมตื่นเต้นไม่น้อยเลยครับ”
ลัวเซิงชะงักไปครู่หนึ่งขณะที่หันไปปาดน้ำตาของตัวเอง จากนั้นจึงเอ่ยต่อ “ในขณะที่ผมถือรางวัลแรกของผมในวันนี้ ผมอยากจะขอบคุณต้นสังกัดของผม จู้ซิงมีเดีย ผมเคยคิดว่าผมเกิดมาเพื่อร้องเพลงและไม่เข้าใจว่าทำไมถังหนิงถึงให้ผมทำงานแสดง…
“บางครั้งผมยังสงสัยในตัวเองด้วยซ้ำ แต่ในท้ายที่สุดผมก็เข้าใจเป้าหมายของถังหนิง เธอได้ค้นพบความสามารถที่ซ่อนไว้ในตัวผม และยังบอกว่าผมจะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากับความตั้งใจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงหรือการแสดงก็ตาม…
“ผมรักจู้ซิงมีเดีย ผมรักครอบครัวที่คอยบ่มเพาะและสนับสนุนผมมา ในเวลาเดียวกันผมก็อยากบอกกับทุกๆ เอเจนซี่ที่พยายามเอาชนะใจผม ว่าผมจะไม่มีทางทิ้งจู้ซิงมีเดียไปเด็ดขาดครับ ขอบคุณสำหรับความชื่นชมนะครับ แต่ผมคิดว่าเกิดเป็นคนไม่ควรลืมคนที่มีบุญคุณกับตัวเองครับ อย่างนั้นเราถึงจะก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยกันได้ ผมหวังว่าผมและเอเจนซี่ของผมจะพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ครับ ขอบคุณนะครับ พี่หนิง ขอบคุณครอบครัวของผม และขอบคุณแฟนๆ ของผมทุกคนด้วยครับ”
คำพูดของลัวเซิงส่วนใหญ่พุ่งเป้าไปที่เรื่องของซย่าหันโม่
และที่เขาพูดเช่นนี้ ณ ที่นี้หมายความว่าเขาไม่เกรงกลัวว่าจะเป็นศัตรูกับใคร เขาแค่ต้องการอยู่กับจู้ซิงมีเดียไปชั่วชีวิต
ในขณะที่ถังหนิงดูการถ่ายทอดสดผ่านจอโทรทัศน์ เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เมื่อเห็นว่าความทุ่มเททั้งหมดของเธอไม่ได้เสียเปล่า
แม้ว่าจะมีคนอย่างซย่าหันโม่ในโลกใบนี้ ก็ยังมีคนที่รู้ซึ้งถึงบุญคุณอย่างลัวเซิงอยู่ ต่อให้ทั้งโลกหันหลังให้กับพวกเขา พวกเขาก็จะยังเป็นศิลปินที่เป็นที่รักของจู้ซิงมีเดีย
โม่ถิงนั่งอยู่ข้างๆ ถังหนิงและเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เขาลูบศีรษะเธอก่อนเอ่ยถาม “คุณจะไม่ส่งเขาไปไห่รุ่ยเหรอครับ”
“หือ” ถังหนิงมองโม่ถิงอย่างงุนงง “มีอะไรเหรอคะ”
“ผมจะส่งซิงหลานคืนให้จู้ซิงมีเดียและให้ลัวเซิงอยู่กับคุณต่อไปด้วย” โม่ถิงว่าขึ้น “ผมรู้ว่าพวกเขาจะกลายเป็นดาราดาวรุ่งถ้าพวกเขายังอยู่ที่จู้ซิงมีเดีย อีกอย่างผมมีแค่คุณผมก็พอใจแล้วครับ”
“โอ๊ะ คุณนี่ ตราบใดที่ฉันยังอยู่ไห่รุ่ย จู้ซิงมีเดียคงไม่มีทางหนีพ้นการควบคุมของคุณไปได้หรอกค่ะ คุณคิดเรื่องนี้มาแล้วสินะคะ” ถังหนิงหัวเราะคิกคัก “ขอบคุณนะคะ ถิง…”
โม่ถิงมองถังหนิงด้วยสายตาอ่อนโยนและไล่นิ้วไปตามเรือนผมของเธอ “ถ้าคุณอยากขอบคุณผมจริงๆ คุณก็น่าจะดูแลตัวเองให้ตัวเองให้ดีๆ นะครับ”
“เข้าใจแล้วค่ะ ดูถ่ายทอดสดกันต่อเถอะนะคะ”
การมอบรางวัลเดินทางมาจนกระทั่ง ผู้รอดชีพ คว้าชัยชนะมาได้พร้อมผู้กำกับที่ได้รางวัลกลับบ้านหลายสาขา ปีนี้เป็นปีที่ดีของเขาจริงๆ ต้องขอบคุณความเชื่อมั่นที่เขามีในตัวถังหนิง
เขาจึงมั่นใจว่าถังหนิงเป็นดวงดาวนำโชคของเขา…